วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การออกกำลังกาย


การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการที่ต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการ
แข่งขันกับตัวเอง
หลายคนก่อนจะออกกำลังมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป
เป็นที่น่าดีใจว่าการออกกำลังให้สุขภาพดีไม่ต้องใช้เวลามากมาย เพียงแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็พอ และก็ไม่ต้องใช้พื้นที่หรือเครื่องมืออะไร มีเพียงพื้นที่ในการเดินก็พอแล้ว การออกกำลังจะทำให้รูปร่างดูดี กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคอ้วน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่จะทำงานและต่อสู้กับชีวิต นอกจากนั้นยังสามารถลดความเครียด
โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย
กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด
โรคอ้วน
โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง
โรคเครียด
โรคภูมิแพ้
โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
โรคมะเร็ง
การเริ่มต้นออกกำลังกาย
หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายวิธีดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวันเช่น
ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล
หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล
ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน
ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน
ทำกิจวัตรเหล่านั้นทุกวันเป็นเวลา 2-3 เดือน หลังจากเพิ่มกิจกรรมได้พักหนึ่งจึงเริ่มต้นเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น
เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า
ขี่จักรยานนานขึ้น
ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น
ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น
ว่ายน้ำ
เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก
เต้นรำ
เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง
หลังจากที่เตรียมความพร้อมร่างกายแล้วเรามาเริ่มต้น ฟิตร่างกายกัน
หลังจากเตรียมความพร้อมแล้ว คุณได้ออกกำลังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้วหากคุณต้องการฟิตร่างกายก็สามารถทำได้โดย
โดยการวิ่งเร็วขึ้น นานขึ้น
ว่ายน้ำนานขึ้น
การฟิตร่างกาย คุณต้องติดตามความก้าวหน้าของการออกกำลังกายเช่น เวลาที่ใช้ในการออกกำลังเพิ่มขึ้น ระยะทางในการออกกำลังเพิ่มขึ้น หัวใจเต้นได้ดี รายละเอียดของการออกกำลังกายคลิกที่นี่
เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ
จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร
เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด
ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี
ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย
บันทึกการออกกกำลังกายไว้
หาเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง
ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป
ติดตามความก้าวหน้าโดยดูจากสมุดบันทึก
ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)
ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย
ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย
ถ้าหากท่านได้เตรียมความพร้อมที่จะออกกำลังกายแล้วอยากจะฟิตร่างกายท่านสามารถทำได้ทันที แต่หากมีอาการหรือโรคต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฟิตร่างกาย
ถ้าท่านอายุมากกว่า 45ปี
หรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง
สูบบุหรี่
หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยมาก
มีอาการหน้ามืด
จำเป็นต้องอุ่นร่างกายหรือไม่ Warm up
ก่อนออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาจำเป็นต้องอบอุ่นร่างกายทุกครั้งเพื่อเตรียมความพร้อมของหัวใจ และหลังจากการออกกำลังควรจะอบอุ่นร่างกายอีกครั้ง รายละเอียดดูได้จากการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
ความฟิตคืออะไร Physical fittness
ความฟิตไม่ได้หมายถึงว่าคุณสามารถวิ่งได้ระยะทางเท่าใด หรือยกน้ำหนักได้เท่าใด แต่ ความฟิตหมายถึงประสิทธิภาพของหัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปถ้าหากออกกำลังกายได้อย่างน้อยวันละ 30 นาทีโดยออกหนักปานกลาง สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วันถือว่าได้ออกกำลังแบบ aerobic exercise รายละเอียดมีในออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ความฟิตของร่างกายต้องประกอบด้วยปัจจัย 5 อย่าง
Cardiorepiratory endurance หมายถึงความสามารถของหัวใจที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้อย่างเพียงพอในขณะที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบ areobic จะเป็นการฝึกให้หัวใจแข็งแรง
Muscular strength ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อซึ่งเราสามารถเพิ่มความแข็งแรงได้โดยการยกน้ำหนัก หรือวิ่งขึ้นบันได
Muscular enduranceความทนของกล้ามเนื้อหมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะทำงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่เกิดอาการเมื่อยล้า
สัดส่วนของร่างกาย หมายถึงสัดส่วนของกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน การออกกกำลังจะทำให้มีปริมาณกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณไขมันจะลดลง อาจจะดูได้จากดัชนีมวลกาย
Flexibility ความยืดหยุดของกล้ามเนื้อ เอ็น เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหรือข้อได้รับอุบัติเหตจากการออกกำลังกาย อ่านและฟังที่นี่
ขณะป่วยควรออกกำลังกายหรือไม่
ขณะที่เจ็บป่วยไม่ควรออกกำลังกายเพราะจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นควรจะพักจนอาการดีขึ้น แต่ถ้าท่านเป็นโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ในการออกกำลังกาย
จริงหรือไม่ที่การออกกำลังกายโดยการเดินดีพอๆกับการวิ่ง
การเริ่มต้นออกกำลังควรใช้วิธีเดินเนื่องจากจะไม่เหนื่อยมาก ยังลดน้ำหนักได้และอาการปวดข้อไม่มาก ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังที่คุณเตรียมร่างกายไวพร้อมแล้วเพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้เหนื่อย และทำให้ปวดข้อ ดังนั้นการออกกำลังโดยการเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกายแต่ถ้าผู้ที่ต้องการความฟิตของร่างกายควรออกกำลังโดยการวิ่ง
คนท้องควรออกกำลังหรือไม่
คนท้องควรออกกำลังกายเป็นประจำแต่ออกกำลังแบบเบาๆโดยการเดิน ไม่ควรวิ่ง ไม่ควรยกของหนัก รายละเอียดอ่านได้จากการออกกำลังในคนท้อง
จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป
ท่านสามารถสังเกตขณะออกกำลังกายว่ามากไปหรือไม่โดยสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้
หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย
หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค
เหนื่อยจนเป็นลม
ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย
หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดการออกกำลังสองวันและเวลาออกกำลังให้ลดระดับการออกกำลังกาย
ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
ผลต่อโรคความดันโลหิตสูง(140/90)
ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%
การออกกกำลังอย่างสท่ำเสมอจะลดทั้งความดัน systole และ diastole อย่างชัดเจน
คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะมีอัตราการเสี่ียงชีวิตจากโรคแทรกซ้อน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง
การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี
ผลต่อโรคเส้นเลือดสมอง
อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
เมื่อขึ้นบันไดวันละ 20 ขั้นจะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงร้อยละ 20
ผู้ที่ออกกกำลังกายโดยการเดินเร็วๆสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงจะมีอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 40
ผลต่อโรคเบาหวาน
ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 42
ผู้ออกกกำลังมากจนกระทั่งเหงื่อออก 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีอุบัติการของการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 22
ผลต่อหัวใจ
ผู้ที่ไม่ออกกำำลังกายจะมีโอกาศเสียชีวิตเป็นสองเท่าของผู้ที่ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น
การออกกำลังกายจะทำให้หัวใจสะสมพลังงานไว้ใช้เมื่อเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก
เพิ่มความแข็งแรงในการบีบตัวของหัวใจ
ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี)
ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง
ผลต่อมะเร็ง
การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46
ผลต่อคุณภาพชีวิต
การออกกำลังกาย 1500 กิโลแครอรีต่อสัปดาห์(ออกกำลังกายหนักปานกลาง)จะเพิ่มอายุ 1.57 ปีและลดอุบัติการการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 67
สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19
การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

ดูแลถูกวิธี สุขภาพดวงตาแข็งแรง



ดวงตา เป็นอวัยวะสัมผัสที่สำคัญที่สุด สามารถรับรู้ได้ ในระยะที่ไกลกว่าอวัยวะสัมผัสอื่นๆ กล่าวคือ ผิวหนังและลิ้นจะรับความรู้สึก เมื่อไปสัมผัสถูก จมูกจะได้กลิ่น เมื่อของอยู่ใกล้ๆ หูจะได้ยิน เมื่อเสียงอยู่ในระยะไม่ไกลนัก ส่วนตาสามารถมองเห็นได้ ที่ระยะไกลกว่า บอกรายละเอียดได้รวดเร็วกว่า ก็ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ที่เราเห็นเวลากลางคืนนั้น อยู่ไกลเท่าไรเรายังมองเห็น กล่าวกันว่าการเรียนรู้ของคนเรา อาศัยการมองเห็น ถึงร้อยละ 80 ผู้ที่ตาบอด จึงขาดโอกาสในการเรียนรู้มากกว่า หากให้คุณเลือกว่าจะยอมตาบอด หรือหูหนวก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส หลายๆ คนคงขอไม่ตาบอดมากที่สุด เพราะตาบอดทำให้ขาดโอกาสเรียนรู้ พึ่งตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย ตาบอดแม้จะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง สังคมที่มีคนตาบอดมาก ย่อมบั่นทอนประสิทธิภาพ ของทรัพยากรมนุษย์โดยรวม ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลง การดูแลสุขภาพตา เพื่อให้ตามองเห็นได้ดีตลอดชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็น
แน่นอนที่สุขภาพทั่วไปโดยรวมที่ดี อันเกิดจากการรับประทานอาหารครบทุกหมู่ ในจำนวนพอเหมาะ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนตามสมควร ทำจิตใจให้สบายไม่เคร่งเครียดจนเกินไป สุขภาพโดยรวมดี จะมีผลสะท้อนให้สุขภาพตาดีด้วย มีข้อเสนอ-แนะบางอย่าง ที่จะช่วยถนอมสายตาให้ดีอยู่ตลอดไป และข้อแนะนำบางอย่าง ที่คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดบ่อยๆ ดังนี้


พึงจำไว้ว่าโรคตาส่วนมากคล้ายๆ กับโรคทางร่างกายทั่วไป ที่ถ้ารักษาแต่เริ่มแรก มักจะรักษาได้ อย่าปล่อยไว้นานจนเกินควรจะแก้ไข ถ้าคุณไม่ทราบ จักษุแพทย์ทุกท่านยินดีให้คำปรึกษา และช่วยเหลืออยู่แล้ว


เมื่อมีอาการผิดปกติทางตา เช่น ตาแดง ปวดตา ตามัว น้ำตาไหล เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นสีผิดเพี้ยน ควรปรึกษาจักษุแพทย์


หากคุณต้องทำงานที่เสี่ยงอุบัติเหตุ ควรสวมแว่นนิรภัย ถ้าเป็นช่างอ๊อกเหล็ก ช่างเชื่อมโลหะ ต้องสวมแว่น หรือสวมหน้ากากป้องกันทุกครั้ง ฝึกให้ทำเป็นนิสัย เท่าที่เห็นมีอยู่จำนวนมาก บอกว่าขี้เกียจใช้แว่น ไม่เคยใส่เพราะว่ามันเกะกะ รู้สึกไม่สะดวก ถ้าทำให้เคยแล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น ถ้าคุณต้องตากแดด ทำงานกลางแจ้ง ทำงานในที่มีฝุ่นละอองมาก ควรใช้แว่นกันแดดช่วย อย่าใช้แว่นกันแดดเพียงเพื่อตามแฟชั่น แว่นกันแดดนอกจากจะกันฝุ่นละออง ยังปกป้องดวงตาจากแสง หรือรังสีซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา ซึ่งสามารถทำลายดวงตาอย่างช้าๆ


เมื่อมีเหตุสุดวิสัย สารเคมีหรือน้ำยาอะไรเข้าตา การรักษาเบื้องต้นที่ควรจะทำคือ ล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที


หากบังเอิญมีฝุ่นหรือผงเข้าตา อย่าขยี้ตา บางคนอาจจะคิดว่าเคยเอามือขยี้และถูตา หลังจากรู้สึกมีผงเข้าตาแล้ว ผงจะหลุดออกมาเอง ที่ถูกไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการขยี้ตาอาจทำให้ตาดำถลอก ยุ่งยากในการรักษา อีกทั้งผงที่แหลมคมอาจฝังลึกลงไป เมื่อมีผงเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือลืมตาในน้ำ หากยังเคืองตาอยู่ ให้ผู้อื่นดูว่ามีผงติดอยู่ที่บริเวณใดในตาหรือไม่ ถ้าเป็นเศษผงติดที่ตาขาว อาจใช้น้ำล้างตาหรือไม้พันสำลี เขี่ยเศษผงให้ออกจากตาได้โดยไม่ยาก ถ้าพยายามแล้วไม่ออก หรือผงติดอยู่ที่ตาดำ ไม่ควรพยายามเอาออกเอง เนื่องจากจะทำให้เจ็บมากเอาออกไม่ได้ อาจทำให้ผงยิ่งฝังลึกลงไป ทำให้เอาออกยากขึ้น


ในภาวะปกติ คนเรานี้มีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งหลั่งมาจากต่อมต่างๆ อยู่แล้ว น้ำตานี้จะชะล้างสิ่งแปลกปลอม ตลอดจนชะสิ่งสกปรกออกอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องล้างตาทุกวัน บางคนเข้าใจผิดว่าเมื่อเรายังล้างหน้า อาบน้ำทุกวัน ก็น่าจะต้องล้างตา เพื่อความสะอาดของดวงตาด้วย เป็นความเข้าใจที่ผิด การล้างตาด้วยน้ำยาล้างตา กลับจะเป็นการไล่เอาน้ำตาจากธรรมชาติ ซึ่งดีกว่าน้ำยาล้างตา ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมาก ควรล้างตาเฉพาะในภาวะผิดปกติ ที่น้ำตาออกมาชะล้างไม่ทัน เช่น มีฝุ่นผง หรือสารเคมีเข้าตา


ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง หรือใช้ยาหยอดของผู้อื่น เพียงรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติเหมือนกัน ยาหยอดตาควรจะเป็นของเฉพาะตัว ถึงแม้ว่าเมื่อคุณใช้ยาบางตัวแล้ว จะรู้สึกสบายตาดีก็ตาม ยาเกือบทุกชนิดที่มีคุณค่า ทำให้เราสบายตาหรือหายจากโรค มักจะมีผลแทรก-ซ้อนเล็กๆ น้อยไปจนถึงมาก บางคนหลงใช้ยาหยอดตารักษาอาการเล็กๆ น้อยๆ แต่นานเข้าเกิดผลแทรกซ้อนจากยานั้น โดยเกิดโรคตาที่รุนแรงกว่า โดยเฉพาะยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้สบายตา ตาหายแดง บางคนว่าหยอดแล้วตาหวาน แต่อาจก่อให้เกิดต้อกระจก ต้อหินในบางคนได้


ถ้าคุณมีบรรพบุรุษเป็นโรคตา ที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่น ต้อหิน จอตาส่วนกลางเสื่อม คุณควรขอคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อเฝ้าระวังที่โรคเหล่านั้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับคุณได้เช่นกัน การตรวจพบโรคแต่ระยะต้น จะทำให้การรักษาง่ายกว่า


ถ้าคุณเป็นเบาหวาน นอกจากจะควบคุมเบาหวานให้ดีแล้ว ควรหมั่นพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจจอตาอย่างน้อยปีละครั้ง คนที่เป็นเบาหวาน จอตาอาจเสื่อมจากโรคเบาหวานได้ แม้จะควบคุมเบาหวานอย่างดีมาตลอดก็ตาม หากเบาหวานทำลายจอตาในระยะต้น ก็ยังสามารถรับการแก้ไขได้ โดยใช้แสงเลเซอร์สกัดกั้น มิให้โรคลุกลาม นอกจากนี้ ถ้าคุณบังเอิญเป็นโรคทางร่างกายบางอย่าง ที่ต้องใช้ยารักษาเป็นเวลานานๆ เช่น วัณโรค โรคเอสแอลอี โรคข้อ โรคผิวหนังบางชนิด ตลอดจนโรคไต ยารักษาโรคดังกล่าวอาจทำลายจอตาได้ จึงควรรับการตรวจตาอย่างละเอียดด้วยเสมอ


ถึงคุณเป็นคนสายตาสั้นมาก ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคตาหลายอย่าง ที่แฝงมากับภาวะสายตาสั้น ได้แก่ ต้อหิน จอตาฉีกขาด จอตาหลุดลอก น้ำวุ้นในตาเสื่อม ซึ่งล้วนแต่เป็นโรครุนแรงทำให้ตาบอดได้ จึงควรศึกษาอาการของโรคดังกล่าว และรับการตรวจจากจักษุแพทย์ หากสงสัยหรืออย่างน้อยรับการตรวจตาปีละครั้ง


ดื่มของมึนเมา น้ำชา กาแฟแต่พอควร แม้จะไม่มีโทษต่อตาโดยตรง แต่ถ้าดื่มมากเกินไป อาจทำให้ประสาทตาเสื่อมได้ โดยเฉพาะเหล้าเถื่อนประเภทเมธิลแอลกอฮอล์ สามารถทำลายประสาทตาทำให้ตาบอดได้
หลายเรื่องเกี่ยวกับการดูแลตา เป็นความเข้าใจที่ผิดมานาน จากนี้ไปลองพิจารณาข้อแนะนำหลากหลายเหล่านี้ดูอย่างถูกต้อง แล้วนำมาใช้ดูแลรักษาดวงตาของคุณเอง ให้มองเห็นโลกกว้างใบนี้ต่อไปอย่างดีตลอดอายุขัย









4 อาหารลดอาการตาแห้ง



คุณเคยรู้สึกตาแห้ง ตาพร่ามัว หรือฝืดเคืองตา ต้องกระพริบตาถี่ๆ คล้ายมีเศษผงเข้าตา จนทำให้มองภาพไม่ชัด หรือบางครั้ง มีขี้ตาออกมาเป็นเมือกเหนียวกันบ้างไหมคะ ถ้ามีแสดงว่าคุณกำลังมีอาการตาแห้งแล้วล่ะ
สำรวจสาเหตุของอาการตาแห้ง
ตาแห้ง เป็นอาการที่มีความผิดปกติของน้ำตา โดยปกติดวงตาของคนเรา จะมีปริมาณน้ำตาเพียงพอที่จะมาหล่อเลี้ยง หรือให้ความชุ่มชื้นกับดวงตา รวมถึงฉาบกระจกตา ทำให้การมองเห็นชัดเจน
ส่วนอาการตาแห้งเกิดจากการมีปริมาณน้ำตาน้อย หรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งน้ำตาที่ดีมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ไขมัน น้ำใส และเมือก หากส่วนประกอบ 1 ใน 3 ของน้ำตาขาดความสมดุลหรือไม่มีคุณภาพ จะทำให้ตาแห้งได้
อาการนี้เป็นได้ทุกเพศ แต่มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และจะพบมากขึ้นตามวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนที่ลดลง ทำให้สารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งน้ำตาก็ลดปริมาณลงไปด้วย นอกจากนี้ อาการดังกล่าวยังเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ ดังนี้


ภาวะที่ทำให้เส้นประสาทรับความรู้สึกที่ตาลดลง เช่น การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีคุณภาพ การผ่าตัดกระจกตาหรือเปลี่ยนกระจกตา การอักเสบของกระจกตาจากเชื้อเริม นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเป็นอัมพฤกษ์ที่ใบหน้า


โรคที่ผิดปกติทางภาวะภูมิคุ้มกัน (Autoimmune) เช่น โรค Sjogren's Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้ง ร่วมกับข้ออักเสบและปากแห้ง โรคข้อบางชนิด หรือโรคเอดส์


โรคบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบกับเยื่อบุตา เช่น กลุ่มอาการแพ้ยา อย่างสตีเวนจอห์นสัน (Stevens-Johnson) ริดสีดวงตา และเบาหวาน


การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด


การทำงานของเปลือกตาบกพร่อง เช่น หลับตาไม่สนิท กะพริบตาน้อย เปลือกตาผิดรูป


สภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอากาศแห้ง หรือมีฝุ่นควัน ลม และแดดจ้า


อาชีพที่ต้องใช้สายตาจ้องเป็นเวลานาน เช่น พนักงานคอมพิวเตอร์ ช่างอ๊อกเหล็ก หรือยามที่เฝ้ากล้องวงจรปิด
แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลใจกันไปค่ะ เพราะผู้ที่มีอาการตาแห้งส่วนใหญ่มักเป็นในระดับไม่รุนแรง แค่ก่อความรำคาญใจ แต่ไม่ทำให้ตาบอดได้
เทคนิคเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา


กระพริบตาถี่ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20 - 22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้อง หรือเพ่งตาค้างไว้นานกว่าปกติ เช่น เวลาที่เราอ่านหนังสือ ดูทีวีหรือจ้องคอมพิวเตอร์ จะทำให้เรากระพริบตาเพียง 8 - 10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้น จึงควรพักสายตาระยะสั้นๆ โดยการหลับตา หรือกระพริบตาอย่างช้าๆ หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 2 - 3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง


ประคบดวงตาด้วยน้ำเย็น แช่ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืนในน้ำเย็น หยิบขึ้นมา 1 ผืน บิดพอหมาดและพับทบเป็นผืนยาว วางปิดดวงตาไว้ทั้งสองข้างนานประมาณ 20 นาที หรือจนกว่าผ้าจะหายเย็น แล้วจึงใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งประคบ สลับกันไปมา จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาของคุณได้เช่นกัน
กินอาหารลดอาการตาแห้ง


กล้วย กินกล้วยทุกวัน เพราะกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจะทำงานร่วมกับโซเดียมเพื่อรักษาภาวะสมดุลน้ำในร่างกาย และช่วยให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้นอยู่เสมอ


ถั่วประเภทนัท (Nut) ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะวอลนัต ควรรับประทานวันละประมาณ 1 กำมือ เพราะถั่วประเภทนี้มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในน้ำตา


ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่าหรือปลาแซลมอน เพราะมีกรดไขมันที่จำเป็นหรือโอเมก้า-3 ด้วย


น้ำมันปอ (Flexseed oil) หรือน้ำมันเมล็ดลินิน จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเพียงพอ โดยรับประทานวันละ 1 ช้อนโต๊ะ หรือผสมในซีเรียลแล้วรับประทานก็ได้
ปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม


หลีกเลี่ยงการทำงานในบริเวณที่มีแสงจ้าและลมแรง เพราะจะทำให้ตาแห้งเร็ว ควรใส่แว่นกันแดดช่วย โดยเลือกแว่นขนาดใหญ่ที่มีขอบด้านข้าง เพื่อช่วยลดการระเหยของน้ำตา


หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศแห้ง และเย็นจัด เช่น ห้องปรับอากาศ ตลอดจนหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละอองและควันต่าง ๆ เช่น บุหรี่ ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองตา


อย่าเป่าลมร้อนจากเครื่องเป่าผมเข้าตาโดยตรง รวมทั้งปรับไม่ให้เครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมเป่าโดนตาหรือใบหน้าโดยตรง


พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนไม่พออาจทำให้ตาแห้งและตาแดงช้ำ เนื่องจากเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตาบวม การพักผ่อนให้สมดุลจึงดีต่อดวงตาที่สุด
นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 239










5 วิธีบำบัด อาการไมเกรน



ไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรง โดยเริ่มจากบริเวณใกล้ดวงตา หรือบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆ มักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นนานถึง 3 วัน จนผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ค้นหาว่าปัจจัยใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วหลีกเลี่ยง เป็นไมเกรนต้องเลี่ยงอะไรปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรน มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้

1.
อาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไทรต์ ซึ่งพบในเบคอน ฮอตดอก และเนื้อหมัก ไทรามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้ว ยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม

2.
น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป

3.
อยู่ในภาวะขาดน้ำ


4.
ความเครียด และความวิตกกังวล รวมถึงอาการช็อก


5.
นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ


6.
อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป


7.
อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง


8.
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือฤดูกาล อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง

9.
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม
หากหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอาการ สามารถเลือกวิธีบำบัดด้วยตัวเองได้หลายวิธีอาหารต้านไมเกรนเนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรน มักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการ จึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียม จึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทองนอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำ จึงต้องการไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและผักหวาน
บำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรพิเศษน้ำมันหอมระเหย มีสรรพคุณช่วยให้การสื่อสารกัน ระหว่างระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับสมดุลของอารมณ์และจิตใจ ให้อยู่ในภาวะดียิ่งขึ้นได้ วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรน มีดังนี้ค่ะ


นวดน้ำมันหอมระเหย ลองหาน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) อย่าง เปปเปอร์มินต์ (peppermint) ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ (lavender) ที่ช่วยคลายกังวล ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้บ้าง เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นไมเกรน หรือมีอาการปวด ให้ผสมน้ำมันหอมทั้งสองชนิดนี้อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม (sweet almond) 2 ช้อนชา นวดบริเวณขมับและต้นคอเบาๆ


ประคบด้วยน้ำมันหอม ช่วงที่รู้สึกว่ามีอาการเครียดจัดต่อเนื่อง ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 2-3 หยด ผสมน้ำ จุ่มผ้าบิดหมาดๆ นำมาประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน
นอกจากการประคบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้ว การประคบโดยใช้อุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกัน ก็ช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาเบาบางลงได้ (น้ำมันหอมระเหยหาซื้อได้ จากห้างสรรพสินค้าทั่วไป และร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ)
ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ


วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ


วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆ ที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด
นอกจากการประคบแล้ว ยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกันคลายปวดกับนวดกดจุดการกดจุดเพื่อบรรเทาอาการไมเกรนมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ


มือ ให้กดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ในแนวตรงสู่กระดูกนิ้วหัวแม่มือ


คอด้านบน ให้กดย้อนขึ้นไปทางใต้กะโหลกศีรษะข้างๆ กระดูกคอ


เท้า กดที่เนินเนื้อที่เชื่อมต่อหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ กดไปทางฝ่าเท้า
ท้ายสุด ขอแถมด้วยชาสมุนไพรคลายอาการปวดให้ครบเครื่องเรื่องการเยียวยาไมเกรนกันไปเลยค่ะชาสมุนไพรแก้ปวด


ใช้รากบวบกลม หรือบวบเหลี่ยมสด หนัก 1 ขีด ต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำชา


น้ำขิงจากเหง้าขิงแก่ และน้ำต้มจากต้นกะเพราแดง อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ ที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะได้


ใช้ผล ต้น ใบ ดอก และรากของมะตูมนิ่มมาต้มรับประทาน ช่วยแก้ปวดศีรษะ ตาลาย

หาหมอสูติ ที่ถูกใจได้อย่างไร


สำหรับคุณผู้หญิงแล้วการมีหมอสูติคู่ใจไว้สักคนเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตเลย เพราะว่าสุขภาพของผู้หญิงมีหลายเรื่องที่ต้องคอยใส่ใจดูแลเป็นพิเศษซับซ้อนกว่าผู้ชายมาก และมีหลายภาวะทางนรีเวชที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิงเริ่มกันตั้งแต่เริ่มเป็นสาวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ กระทั่งถึงวัยทอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปวดท้องประจำเดือน โรคทางสูตินรีเวช เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือเนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่ผู้หญิงยุคนี้เป็นกันมาก การมีซีสต์ที่เต้านม การตั้งครรภ์ที่ต้องมีหมอสูติคอยดูแล การเข้าสู่วัยเมโนพอส หรือที่สาหัสสำหรับผู้หญิงที่โชคไม่ดี ก็คือโรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งของระบบสืบพันธุ์ และโรคกระดูกพรุนนั่นเอง ฯลฯ
แต่ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจคำว่า คุณหมอที่ถูกใจเสียก่อนว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น ไม่ใช่คุณหมอที่แสนจะตามใจคนไข้ แต่หมายถึงคุณหมอที่ใส่ใจในสุขภาพของคุณอย่างจริงจัง มีประสบการณ์ ใส่ใจในการรักษา ตอบข้อซักถามของคุณอย่างเต็มใจและให้คำแนะนำและข้อมูลชัดเจน รวมทั้งเก็บข้อมูลส่วนตัวของคุณได้ดี... แล้วเราจะหาหมอสูติ-นรีเวชที่ถูกใจไว้คอยดูแลเป็นที่ปรึกษาเราได้อย่างไร HealthToday มีข้อคิดมาแนะนำกัน...
เริ่มต้นหาหมอสูติ-นรีเวช กันดีกว่า


ข้อแนะนำแรกคือ คุณควรพบหมอสูติ-นรีเวชในขณะที่คุณยังมีสุขภาพดีอยู่ อาจจะเริ่มต้นด้วยการตรวจสุขภาพประจำปีรวมทั้งตรวจทางสูติ-นรีเวชไปพร้อมกันด้วย แล้วลอง follow up กับหมอท่านนั้นดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เข้าสู่วัย 30 ปีขึ้นไป หรือหญิงที่แต่งงานแล้วควรจะเริ่มตรวจภายในและเต้านม การพบสูติแพทย์ในขณะที่ยังมีสุขภาพดี มีข้อดีที่ว่าหากคุณเคยพบแพทย์มาก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อคุณเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคทางสูติ-นรีเวชขึ้นมาคุณสามารถไปหาหมอที่คุณถูกใจได้ท่วงทัน ไม่ต้องเสียเวลาในการสืบค้นว่าจะไปหาหมอคนไหนดี


ค้นหารายชื่อหมอจากหลายๆ แหล่ง เช่น ขอคำแนะนำจากญาติมิตร เพื่อนฝูง ใครว่าคุณหมอท่านไหนดี คุณก็ควรจดชื่อ สถานที่ และตารางการออกตรวจของคุณหมอท่านนั้นๆ ไว้ แล้วเลือกท่านที่คุณสนใจที่สุด ลองไปขอตรวจสุขภาพดูก่อน นอกจากนี้วิธีที่มักจะไม่ค่อยผิดหวังคือถ้าคุณมีหมอประจำตัวด้านอื่นๆ ที่ดูแลคุณอยู่แล้ว คุณอาจขอคำแนะนำให้คุณหมอท่านนั้นแนะนำสูติแพทย์ที่ท่านรู้จักให้ก็น่าจะดี
ควรถามอะไรเมื่อไปรับการตรวจ


ในยามฉุกเฉินดิฉันจะมาพบคุณหมอได้ที่ไหน อย่างไร


คุณหมอออกตรวจที่โรงพยาบาลใดบ้าง ขอทราบตารางวัน เวลาที่ออกตรวจในแต่ละแห่งด้วย


จำเป็นต้องนัดล่วงหน้าทุกครั้งหรือไม่ หรือสามารถโทรศัพท์สอบถามปัญหา ขอคำแนะนำจากคุณหมอหรือพยาบาลทางโทรศัพท์จะสะดวกหรือไม่


หากคุณหมอไม่มาออกตรวจ ดิฉันสามารถพบหมอท่านไหนแทนได้บ้าง หรือจะฝากให้หมอท่านไหนดูแลแทน


ขอทราบข้อมูลว่าคุณหมอท่านที่คุณหาอยู่มีความชำนาญด้านใดเป็นพิเศษ เช่น บางท่านชำนาญด้านสูติ การตั้งครรภ์ บางท่านชำนาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก บางท่านชำนาญด้านนรีเวช บางท่านเชี่ยวชาญด้านมะเร็งทางนรีเวช บางท่านเชี่ยวชาญด้านวัยทอง เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หากคุณทราบ คุณก็สามารถเลือกพบแพทย์ตามความต้องการที่เหมาะกับสุขภาพของคุณได้
ถามตัวเองหลังจากได้พบหมอแล้ว


คุณหมอและพยาบาลที่คุณได้พบมาอัธยาศัยไมตรีดีหรือไม่


ทุกคำถามที่คุณสงสัยได้รับคำตอบจากหมอหรือไม่


การเข้าตรวจครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งรีบหรือไม่


เห็นด้วยกับหลักการรักษาของหมอท่านนี้หรือไม่


สถานพยาบาลที่คุณไปหาหมอสะดวกต่อการเดินทางแค่ไหน ห่างไกลแค่ไหน อย่าลืมคำนึงถึงยามฉุกเฉินเผื่อไว้บ้าง โดยเฉพาะการจราจรบ้านเราไม่เป็นใจนักยามเร่งด่วน
ถ้าคุณประมวลผลแล้วเป็นที่พอใจ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิด คุณก็คงต้องมองหาหมอสูติคนอื่นๆ ต่อไป จนกว่าจะได้พบคนที่ถูกใจและดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจว่าหมอคนไหนใช่สำหรับคุณ ก็ควรเปิดใจรับวิธีการและหลักการรักษาของหมอท่านที่คุณหาอยู่ให้ถึงที่สุดก่อน และอย่าลืมว่าหมอแต่ละท่านก็มีความชำนาญ ประสบการณ์ และสไตล์ต่างกัน ในขณะที่คนไข้แต่ละคนก็มีความต้องการต่างกัน ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการหาหมอแต่ละท่านนั้นคุณควรให้เวลาในการรักษาต่อเนื่อง พยายามสื่อสารและจูนกันให้ดีที่สุดกับหมอคนที่คุณหาอยู่ เพื่อที่จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดด้วย จำไว้ว่าสุขภาพสตรีโดยเฉพาะทางสูติ- นรีเวชไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการผิดปกติเกิดขึ้นก่อนจึงค่อยไปหาหมอ แต่คุณควรบรรจุไว้เป็นหนึ่งในแผนการตรวจสุขภาพประจำปีด้วยเลย เนื่องจากโรคของสตรีหลายๆ โรคหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรีบรักษาก็มีโอกาสหายขาดได้ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ตลอดไป







สารพัดสูตรบำบัดอาการปวดประจำเดือน



อาการปวดประจำเดือน มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนประจำเดือน และมีการหลั่งสารโพรสตาแกลนดินออกมามากผิดปกติ ซึ่งสารนี้ทำหน้าที่ช่วยปิดรูหลอดเลือดที่รั่ว จึงทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัว มักพบในเด็กสาว หรือผู้หญิงที่อายุยังน้อย จะมีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงในระยะแรกที่ประจำเดือนมา อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเดิน เหงื่อออก มือเท้าเย็นร่วมด้วย บางรายอาจปวดมากจนเหมือนไม่สบาย หรือเป็นลม อาการปวดนี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
ส่วนอาการปวดอย่างรุนแรง อาจเกิดจากโรคเยื่อบุมดลูกเกิดต่างที่ เป็นถุงน้ำที่รังไข่ การอักเสบในอุ้งเชิงกราน เนื้องอกไฟบรอยด์ หรือการใส่ห่วงคุมกำเนิด ซึ่งในกรณีหลังถ้าเคยตั้งครรภ์มาแล้ว ปากมดลูกจะหลวมอาการปวดจะหายไป
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
เชื่อไหมคะว่า อาการปวดประจำเดือนเกิดจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะวิถีการใช้ชีวิต และการกินอยู่ผิดๆ เรามีสารพัดวิธีแก้อาการปวดประจำเดือนมาแนะนำ ซึ่งสามารถทำได้โดยกินอาหารธรรมชาติ ที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้สด เพื่อป้องกันอาการท้องผูกระหว่างมีประจำเดือน นอกจากนี้ อาการปวดประจำเดือน อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด ซึ่งสามารถดูแลตัวเองด้วยการฝึกสมาธิและโยคะ และเทคนิคในการผ่อนคลายอื่นๆ
จัดระบบสมดุลร่างกายด้วยชีวจิต
เรื่องของอาการปวด ประจำเดือนเป็นเรื่องของมดลูกโดยตรง แต่บางครั้งก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับมดลูกได้เหมือนกัน เช่น ท้องผูกเป็นประจำ โลหิตจาง กินอาหารผิด เครียด เป็นต้น ดังนั้นก่อนอื่นต้องจัดระบบร่างกายให้สมดุล ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ

1.
กินอาหารตามสูตรชีวจิต


สำหรับคนผอมและเลือดน้อย ใช้สูตรนี้ค่ะ กินอาหารในแต่ละมื้อดังนี้ คาร์โบไฮเดรต 40 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน (อาหารทะเล) 25 เปอร์เซ็นต์ ผักต่างๆ 25 เปอร์เซ็นต์ เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์



สูตรสำหรับคนเจ้าเนื้อ ใช้สูตรทั่วไปของชีวจิตคือ คาร์โบไฮเดรต 50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์

2.
กินวิตามินกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ วิตามินเอ ซี ดี อี กินรวมกับวิตามินบี 2 ปริมาณ 200 มิลลิกรัม วิตามินบี 6 ปริมาณ 100 มิลลิกรัม กรดโฟลิก 0.4 มิลลิกรัม (400 ไมโครกรัม) และธาตุเหล็ก 30 มิลลิกรัม

3.
ออกกำลังกาย ด้วยวิธีใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเร่งให้ร่างกายผลิตสารอนุพันธุ์ฝิ่นธรรมชาติ ซึ่งมีฤทธิ์บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้
สมุนไพรไทยไล่อาการปวด
หากอาการปวดยังไม่ทุเลา อย่าลืมสมุนไพรที่ปลูกไว้ในสวนครัวหลังบ้านเชียวค่ะ


ขี้เหล็กและแก่นฝางสน ใช้แก่นขี้เหล็ก และแก่นฝางสนอย่างละ 75 กรัม ใส่หม้อเติมน้ำให้พอท่วมยา น้ำ 3 ส่วน ต้มเหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา


ลูกยอบ้าน นำลูกยอบ้านอายุไม่แก่ไม่อ่อนมาทำส้มตำกินสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง


หอมแดง ใช้หัวหอมสด 15-30 กรัม ต้มกับน้ำสะอาดพอประมาณ ดื่มเป็นยา


รวมสมุนไพรไทย นำพริกไทยล่อน 7 เม็ด ดีปลี 7 เม็ด กระเทียม 7 กลีบ ขิงสด 7 ชิ้น ไพลสด 7 แว่น ว่านชักมดลูก 7 แว่นหนาๆ มาตำรวมกัน คั้นเอาแต่น้ำ (หรือจะเคี้ยวทั้งเนื้อก็ได้) ดื่มวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น ไม่ควรเกิน 3 วัน อาการปวดจะค่อยๆ หายไปเอง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยให้กะบังลม หรือมดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
ท่าบริหารร่างคลายปวดประจำเดือน
การออกกำลังกาย นอกจากจะทำรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เพราะร่างกายได้หลั่งสารแอนโดร์ฟินแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีภูมิต้านทานโรคได้ด้วย โดยเฉพาะท่าที่เรานำมาเสนอนี้ สามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ชะงัด อย่าเชื่อจนกว่าจะลองทำค่ะ


วิธีที่ 1 ยืนหันหน้าเข้าข้างฝา เท้าสองข้างราบติดพื้น มือทั้งสองข้างยันฝา แล้วแอ่นบั้นเอวไปข้างหน้าจนชิด หรือเกือบชิดฝา ทำวันละ 20 ครั้ง เช้า-เย็น


วิธีที่ 2 ควงบั้นเอวจากซ้ายไปขวา แล้วสลับควงจากขวาไปซ้าย ข้างละ 10 ครั้ง เช้า-เย็น


เซลลูไลท์ วายร้ายของผู้หญิง


ในสายตาคนทั่วไป การพิจารณารูปร่างใครสักคนว่า จะดีหรือได้สัดส่วนมีเกณฑ์อย่างไร? เพราะหากมีเกณฑ์เหมือนดารา หรือนางแบบในปัจจุบัน คาดว่าผู้หญิง 80% อาจไม่ผ่าน แม้ว่าค่าดัชนีมวลกาย (BMI) หรือความสมดุลระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง จะต่ำกว่ามาตรฐานอยู่แล้วก็ตาม ซึ่งกระแสนิยมหุ่นผอมเพรียวอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทำให้หลายคนกังวลเรื่องรูปร่างเกินพอดี
หากย้อนกลับไปสมัยอารยธรรมโบราณ เช่น กรีก โรมัน ศิลปกรรมมากมายสะท้อนภาพลักษณ์ ผู้หญิงที่สวยงามต้องมีรูปร่างท้วม ต่อมาความคิดนี้ได้เปลี่ยนไป เมื่อประเทศตะวันตกได้รับอิทธิพลแฟชั่น ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อหนังมากขึ้น เกิดการเปรียบเทียบรูปร่าง กำหนดรูปร่างในอุดมคติ จนเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิง รุ่นใหม่กลัวความอ้วนมากกว่าการเจ็บป่วย แม้คนที่น้ำหนักปกติจนถึงขั้นผอมก็หันมาควบคุมน้ำหนัก ขจัดไขมันส่วนเกิน ซึ่งล่าสุดเกิดกระแสขจัดเซลลูไลท์ เพื่อให้สวยสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ไขมันส่วนเกิน VS เซลลูไลท์ ?อันดับแรกต้องเข้าใจว่า ไขมันส่วนเกินกับเซลลูไลท์ ไม่เหมือนกัน ไขมันส่วนเกินหมายรวมถึง ไขมันที่มากเกินปกติ อาจสะสมอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังทั้งลึกและตื้น รวมถึงสะสมที่อวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ ภาวะนี้เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ถ้ามีไขมันส่วนเกินสะสมไปทั่วร่างกาย สามารถเห็นส่วนโค้งของก้อนไขมันสะสมยื่นนูนชัดเจน ซึ่งผิวหนังบริเวณนั้นก็อาจเรียบตึง และที่สำคัญสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ปัญหาข้อเสื่อม ปวดหลัง เส้นเลือดขอด โรคตับ แต่สำหรับคำว่าเซลลูไลท์ ที่ใช้เรียกกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จริงๆ แล้วไม่ใช่ศัพท์บัญญัติทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์ เป็นการเรียกเซลล์ไขมันที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ในชั้นล่างของผิวหนัง ผิวหนังบริเวณนั้น จึงถูกดันให้นูนขึ้น ก่อให้เกิดผิวลักษณะเป็นคลื่นตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวเปลือกส้ม สามารถพบได้ทั้งคนอ้วนและไม่อ้วน โดยเฉพาะผู้หญิงจะพบมากบริเวณต้นขาและสะโพก เซลลูไลท์ไม่ก่อให้เกิดผลเสีย ทางสุขภาพแต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องความสวยงามหรือความมั่นใจเท่านั้น
ทำไมถึงเกิดเซลลูไลท์ ?ชั้นใต้ผิวหนังส่วนใหญ่ประกอบด้วย เซลล์ไขมันและเนื้อเยื่อ ซึ่งเซลล์ไขมันจะเรียงกันเป็นกลุ่มก้อน (fat lobule) มากมาย โดยมีเส้นใยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหุ้มรอบๆ อีกที เมื่อเรารับประทานไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เซลล์ไขมันเหล่านี้ ก็จะพองตัวและอาจขยายขึ้นได้มากกว่า 3 เท่าของขนาดปกติ เนื้อเยื่อไขมันจึงดันตัวออกนอกกรอบ แต่เส้นใยที่ขึงอยู่นั้น ไม่ยืดตาม ทำให้เกิดการรัดตึง ในบางแห่งจนเห็นริ้วคลื่นบนผิวหนังได้ โดยเฉพาะกับผู้หญิง ที่มีผิวบางกว่าผู้ชาย จะเห็นรอยได้ชัดเจน และเมื่อมีการสะสมมาก เซลล์ไขมันที่ก่อตัวผิดปกติ จะเบียดหลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สม่ำเสมอ การถ่ายเทของเสียผ่านท่อน้ำเหลือง ระบบแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ระหว่างเซลล์เสียสมดุล โครงสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์ใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพ และขาดความกระชับยืดหยุ่น
วิธีขจัดไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์วิธีลดไขมันส่วนเกินที่ได้ผลดีที่สุดคือ การออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่สำหรับปัญหาเซลลูไลท์ แม้ว่าควบคุมอาหาร ก็ไม่สามารถขจัดได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงรูปร่าง สมส่วนที่ควบคุมอาหาร ก็ยังพบว่ามีเซลลูไลท์ ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยหลายด้านเกี่ยวข้อง เช่น พฤติกรรมการกิน พันธุกรรม ฮอร์โมน การตั้งครรภ์ การสูบบุหรี่ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถแก้ไขปัญหาไขมันส่วนเกินได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยแปรรูปเนื้อเยื่อไขมัน ที่สะสมในร่างกายออกมาใช้เป็นพลังงาน และเสริมสร้างกล้ามเนื้อในชั้นผิวหนัง ซึ่งจะเสริมความแข็งแรง เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น
ทางเลือกในการขจัดเซลลูไลท์์ปัจจุบันนี้สถานบริการความงาม เสนอวิธีลัดสำหรับคนที่ต้องการดูดี แบบประหยัดเวลา มีทั้งการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย ร่วมกับการนวดด้วยครีม และวิธีการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก เริ่มจากหลักการการทำงาน ของเครื่องมือนวดกระชับสัดส่วน คือ การอาศัยเทคนิคต่างๆ เช่น พลังงานความร้อน-เย็น คลื่นความถี่ต่ำ หรือแรงดูดสูญญากาศและการนวด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ลดการบวมน้ำ และช่วยให้ไขมันใต้ผิวหนัง จัดเรียงตัวใหม่อย่างมีระเบียบ ทำให้รู้สึกว่าผิวกระชับขึ้น ส่วนการใช้ครีมนวดกระชับสัดส่วน แม้ว่าจะมีบทความโฆษณา สรรพคุณของสารมากมายหลายชนิด แต่ก็ไม่สามารถหางานวิจัยที่เชื่อถือได้มาอ้างอิง จึงยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ ว่าสามารถสลาย หรือขจัดไขมันที่สะสมในร่างกายได้จริง อย่างไรก็ตาม ส่วนประกอบหลักของครีมเหล่านี้ มักมาจากสารสกัดจากพืชบางชนิด ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อเซลล์ไขมัน เช่น theophyline ที่พบมากในชา ส่วนผสมของคาเฟอีนที่พบในกาแฟ ชา ต้นโคล่า และ aminophyline ซึ่งใช้รักษาอาการหอบหืด เป็นต้น แม้ว่าการนวดที่ถูกวิธี สามารถกระตุ้นระบบน้ำเหลือง และทำให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นจริง แต่การประสบความสำเร็จ ในการลดเซลลูไลท์ได้หรือไม่ คงยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านของแต่ละบุคคล เพราะสุดท้ายอย่าลืมว่า ไม่ว่าจะใช้เทคนิคลดสัดส่วนแบบใด ไขมันส่วนเกินก็ยังคงอยู่ในร่างกาย เพียงแต่อาจเรียงตัวใหม่เท่านั้น
การแพทย์ทางเลือกประยุกต์เพื่อความสวยงามการแพทย์ทางเลือกที่ใช้รักษาโรคตั้งแต่อดีตได้รับ การประยุกต์มาใช้ ในเรื่องความสวยงามในยุคปัจจุบันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเมโสเทอราปี (mesotherapy) และคาร์บอกซี- เทอราปี (carboxytherapy)


เมโสเทอราปี (mesotherapy) คิดค้นโดย นพ.ไมเคิล ฟิสโต ชาวฝรั่งเศส เมโสเทอราปี เดิมใช้รักษาอาการปวด อันสืบเนื่องมาจากปัญหาหลอดเลือด เป็นทางเลือกในรักษา โดยใช้ยาฉีดยาเข้าผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เรียกว่า เป็นทางเลือกในการรักษา นอกเหนือจากการรับประทานยา แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน มีแพทย์นำมาประยุกต์ใช้ในการเสริมสวย เพื่อสลายไขมันส่วนเกิน จนกลายเป็นที่นิยมในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ ซึ่งยาฉีดส่วนใหญ่จะเป็นวิตามิน สารสกัดจากพืช phosphatidylcholine หรือ deoxycholate ซึ่งเชื่อว่าสามารถช่วย ลดริ้วรอย ไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์ ด้วยหลักการเดียวกันคือ ปรับปรุงระบบ ไหลเวียนโลหิต ซึ่งผลข้างเคียงของการฉีดคือ รอยฟกช้ำ อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาของหลายประเทศ ยังไม่ได้รับรองความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา เนื่องจากยาฉีดมาจากหลายแหล่ง และมีหลายขนาน ดังนั้น ผู้รับบริการจึงต้องใช้วิจารณญาณให้มาก โดยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และพึ่งพาแหล่งบริการที่ได้รับมาตรฐานเท่านั้น





คาร์บอกซีเทอราปี (carboxy-therapy) เป็นการฉีดก๊าซคาร์บอน-ไดออกไซด์ในชั้นผิวหนัง ซึ่งเดิมทีใช้ร่วมกับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง เพื่อขยายพื้นที่ภายในบริเวณรอบๆ จุดที่จะทำการผ่าตัด เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนอวัยวะอื่นๆ แต่ด้านความสวยงาม เชื่อว่า การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเข็มขนาดเล็ก จะกำจัดเซลล์ไขมัน เพิ่มการไหลเวียนของเลือด แก้ไขปัญหาเซลลูไลท์ และผิวลาย มีรายงานวิจัยแสดงการตรวจชิ้นเนื้อไขมันใต้ผิวหนังภายหลัง การฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่าเซลล์ไขมันถูกทำลายโดยตรง และเพิ่มการไหลเวียนโลหิต มายังบริเวณที่ก๊าซแทรกซึมไปขณะรักษา จึงช่วยแก้ไขปัญหาเซลลูไลท์และผิวแตกลาย วิธีนี้ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ว่า ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ยกเว้นหลังการฉีดจะรู้สึกอุ่น แสบและตึงๆ ผิวบริเวณชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และควรระมัดระวังในผู้มีปัญหาโรคปอด
ได้ผลจริงหรือไม่และเห็นผลนานเพียงใด ?เป็นความจริงที่ว่า ในทางการแพทย์ไม่มีการรักษาใดที่จะได้ผลหรือปลอดภัย 100% เช่นเดียวกับวิธีขจัดเซลลูไลท์ ไม่ว่าจะอาศัยเครื่องมือนวด ใช้แรงมือนวด ครีมต่างๆ หรือกระทั่งการรักษาแบบทางเลือก ก็ใช่ว่าช่วยให้คุณมีหุ่นผอมเพรียวเหมือนนางแบบ หรือคำโฆษณา เพราะคนเรามีรูปร่างต่างกัน วิถีในการดำรงชีวิตต่างกัน ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางจิตวิทยาเกี่ยวข้องอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในการทดลองของแผนกศัลยกรรมพลาสติกที่ Bradford Royal Infirmary เวสต์ ยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ ทดสอบการขจัดเซลลูไลท์ ด้วยครีมกระชับสัดส่วน ด้วยการให้ผู้หญิงที่มีปัญหาเซลลูไลท์ 35 คน ทาครีมกระชับสัดส่วนโดยทาขาทั้งซ้ายและขวา วันละ 2 ครั้ง โดยผู้เข้าร่วมทดลองไม่ทราบว่า มีกลุ่มหนึ่งทาครีมธรรมดา (ยาหลอก) และอีกกลุ่มทาครีมกระชับสัดส่วน ปรากฏว่าค่า BMI และเส้นรอบวงของต้นขาทั้งสอง ก่อนและหลังการทาครีมกระชับสัดส่วน นาน 12 สัปดาห์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แตกต่างจากการได้รับ ยาหลอก แต่ผู้หญิง 3 คนจากทั้งหมด รู้สึกว่าผิวกระชับขึ้น สรุปว่าการได้รับการรักษาวิธีใด วิธีหนึ่งอยู่ก็สามารถส่งผลดีต่อจิตใจ ดังนั้น ผู้ให้บริการจึงใช้วิธีต่างๆ หรือให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อสร้างกำลังใจในการขจัดเซลลูไลท์ เช่น คำแนะนำในการปรับปรุงการรับประทานอาหาร และความสำคัญของการออกกำลังกาย ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การรักษาเพื่อขจัดไขมันส่วนเกิน และเซลลูไลท์ด้วยวิธีต่างๆ ไม่สามารถขจัดไขมันส่วนเกินให้หายขาดได้ หากปราศจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการออกกำลังกาย ก็มีโอกาสที่เซลล์ไขมันจะขยายขนาด สู่สภาพเดิมหรือ มากขึ้นกว่าเดิม ส่วนปัญหาเซลลูไลท์ ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ ดังนั้น หากไม่หวังผลในด้านบุคลิกภาพ หรือรูปร่างเหมือนดารา นางแบบ ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา การมีสุขภาพที่ดี เริ่มจากพื้นฐานเรื่องอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพียงแค่นี้ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส อ่อนวัยไปอีกหลายปี
และสำหรับสาวๆ ที่กำลังวิ่งตามกระแสแฟชั่นหุ่นผอมเพรียว ขอย้ำว่าไม่จำเป็นต้องมีสัดส่วนดูดี 100% คุณก็สามารถดูดีได้จากการแต่งกาย การเดิน ยืน นั่ง พูด และที่สำคัญความสามารถทางความคิด ซึ่งทำให้คนรอบข้าง ชื่นชมรักใคร่
คุณรู้ไหมว่า...การลดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขา หรือสะโพกด้วยวิธีอดอาหาร ไม่สามารถขจัดไขมันเฉพาะส่วนได้ นอกจากนี้ หากสูญเสียไขมันบริเวณนั้นเป็นเวลานาน ผิวหนังซึ่งเดิมยืดตามไขมันที่พอกตัวเกินจะหย่อนคล้อย ทำให้เกิดผิวหนัง ส่วนเกิน ดังนั้นการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบ เห็นผลเร่งด่วนจึงไม่ดีต่อสุขภาพและรูปร่าง







เรื่องน่าอาย ที่ผู้หญิงไม่อยากบอก



ทุกคนย่อมมีความลับหรือเรื่องราวที่ปกปิดไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีปัญหาสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพทำลายความเชื่อมั่นอย่างจัง ก็อาจกลายเป็นคนอมทุกข์หรือเก็บตัวอยู่คนเดียว แบบนี้ย่อมไม่ดีแน่ต้องหาทางแก้ด่วน ซึ่ง 4 สุดยอดเรื่องน่าอายในใจหญิงที่เรารวบรวมมา ได้แก่ การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกิน และสุดท้ายการผายลมและเรอบ่อยภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือช้ำรั่ว (Overactive Bladder หรือ OAB)มักเกิดจากการที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไอ จาม หัวเราะหรือยกของหนัก ทำให้ปัสสาวะเล็ดหรือซึมออกมาเปรอะเปื้อนกางกางชั้นใน พาลให้ไม่กล้าออกไปท่องเที่ยวหรือทำธุระนอกบ้าน อาการนี้เป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นมากถึง 75% ในช่วงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องมาจากความเสื่อมของระบบควบคุมการขับถ่ายของกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อหูรูด ท่อปัสสาวะและกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน หรือกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กันเหมือนเดิม นอกจากนี้ อาการช้ำรั่วสามารถเกิดได้กับผู้หญิงหลังคลอดบุตร มีน้ำหนักเกิน ไอเรื้อรัง และโรคเบาหวาน วิธีรับมือกับเรื่องลับๆ ของคุณนี้มีทั้งแบบง่าย คือ การออกกำลังกายกระชับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อรอบๆ ช่องคลอด เหมือนกับการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ให้ไหล ให้ขมิบนานครั้งละ 10 วินาที และคลายออก ทำเป็นพักๆ ประมาณ 50-60 ครั้ง วันละ 3-4 ครั้ง หรือวิธีที่ยากหน่อยคือ การผ่าตัดทำรีแพร์ช่องคลอด (A-P repair) การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะทางหน้าท้อง ผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและคำวินิจฉัยของแพทย์ ส่วนวิธีป้องกันเบื้องต้นของอาการปัสสาวะเล็ดก็คือ การหลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ที่จะทำให้ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น แต่อย่ากลัวปัสสาวะจนไม่กล้าดื่มน้ำ เพราะนั่นจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายยิ่งแย่เข้าไปอีก คุณควรพยายามดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 6-8 แก้ว แต่อาจหลีกเลี่ยงการดื่มช่วงก่อนเข้านอน เพื่อจะไม่ต้องตื่นมาทำธุระกลางดึกรบกวนการนอน
ตกขาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ข้อแม้ของความลับกรณีนี้คือ คุณจำเป็นต้องบอกให้สูติ-นรีแพทย์ทราบ อย่าเก็บเป็นเรื่องน่าอายของตนเอง มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อสุขภาพภายในให้รุนแรงหรือเป็นมากขึ้น ภาวะตกขาวที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น จากเชื้อรา (Yeast, candida, fungus) จากตกขาวที่ปกติจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด กลับกลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ทำให้มีกลิ่นไม่ค่อยดี อาจมีอาการคันและแสบที่ปากช่องคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก


สวมกางเกงในที่ไม่ระบายอากาศ การใส่กางเกงแฟชั่นรัดติ้ว หรือผ้าเนื้อหนาไป ทำให้เหงื่อระเหยช้า เกิดกลิ่นอับ


การรักสะอาดมากไป การใช้สบู่ที่เป็นด่างมากๆ ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น จะทำให้สภาพปากช่องคลอดมีความเป็นกรดตามธรรมชาติลดลง ทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองและเกิดเชื้อราได้ง่าย


เกิดจากการลืมเปลี่ยนแผ่นอนามัยทุก 2-3 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะอับชื้นเอื้อให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี


รับประทานยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดและรับประทานยาฆ่าเชื้อไวรัส มักจะส่งผลให้เชื้อโรคปกติที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้ไม่มีปราการป้องกันตามธรรมชาติ สามารถติดเชื้อราได้ง่าย
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองใน แผลริมอ่อน แบคทีเรียทริโคโมนาส (Trichomonas) ที่เป็นสาเหตุทำให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็น การติดเชื้อไวรัส หูด หงอนไก่ เริม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ ซึ่งอย่าเพิ่งตกอกตกใจคิดไปว่าตนเองจะเป็นได้มากขนาดนี้เชียวหรือ เพราะวิธีเดียวที่จะฟันธงว่า ปัญหาน่าอายนี้เกิดจากอะไรนั้นคือ การไปพบสูติ-นรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในและนำตกขาวไปทดสอบ
กลิ่นตัวและเหงื่อรักแร้ออกมากเกินเป็นเรื่องหนึ่งที่คุณผู้หญิงกังวลมากที่สุด เพราะถ้ามีแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองไม่รักษาความสะอาด ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า การที่มีกลิ่นตัวหรือเหงื่อออกบริเวณรักแร้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดปกติ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกาย ที่ต่อมเหงื่ออะโปรลีนบริเวณรักแร้ขับเหงื่อออกมา เพื่อปรับอุณหภูมิร่างกายให้เหมาะสม เดิมทีเหงื่อที่ขับออกมาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เป็นเพราะเจ้าแบคทีเรียที่อยู่ตามที่อับชื้นอาศัยคราบเหงื่อเป็นอาหาร กลายเป็นกลิ่นตัวในที่สุด ปัญหานี้กลุ่มวัยรุ่นจะประสบมากหน่อย อันเนื่องมาจากฮอร์โมนที่ปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปปัญหาเรื่องกลิ่นตัวก็จะลดลงไปเอง ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลดกลิ่นตัวก็คือ


การใช้ยาลดเหงื่อ (antiperspirant) มีทั้งแบบโรลออน สเปรย์หรือแท่งสติ๊ก และยาดับกลิ่นตัว (deodorant) ลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนผิวหนังคู่กับการดับกลิ่น


การอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด ใส่เสื้อผ้าแห้งสะอาด เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี เพื่อให้เหงื่อระเหยได้ง่าย และหลีกเลี่ยงเสื้อที่รัด และแนบรั้งบริเวณใต้วงแขนมากไป


หมั่นโกนขนรักแร้ เพราะขนรักแร้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตดีขึ้น ส่งผลให่มีกลิ่นตัวง่ายขึ้น


หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด อาหารที่มีกลิ่นฉุน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม เพราะกลิ่นอาหารจะขับออกมาพร้อมเหงื่อส่วนเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเหงื่อรักแร้ที่ออกมากเกิน ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นคนประเมินว่าเหงื่อคุณออกมากผิดปกติ จนต้องรักษาหรือไม่ อย่าเป็นหนูทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดจนผสมปนเปกันไปหมด อาจเป็นสาเหตุของการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังได้
ผายลมและเรอบ่อยเรื่องแบบนี้ถ้าธรรมชาติเรียกร้องก็อย่าฝืนจะดีกว่า (แต่ถ้าจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็ต้องทำให้เนียนที่สุด) การผายลมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นก๊าซที่ผลิตขึ้นโดยแบคทีเรียในลำไส้ ในวันหนึ่งคุณสามารถตดได้ถึง 1.5 ลิตรทีเดียว! แต่คนเราจะผายลมมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น


การกลืนน้ำลาย การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวรับประทานอาหาร


ชนิดของอาหารที่รับประทาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะไม่ถูกกับอาหารชนิดใด ทำให้เกิดภาวะย่อยยาก เช่น ถั่ว นมวัว น้ำอัดลม หัวหอมใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำปลี ส้มโอ ลูกพรุน เนื้อสัตว์บางชนิด ซึ่งร่างกายอาจย่อยได้ไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด เรอและผายลม


มีอาการผิดปกติในระบบย่อยอาหารอยู่ก่อน เช่น โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน โรคลำไส้แปรปรวน หรือแม้แต่ความเครียด หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ก็ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มากได้เช่นกัน ถ้าไม่อยากให้ตัวเองผายลมและเรอมากไป ก็ต้องสังเกตและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ถูกกับร่างกาย งดดื่มน้ำอัดลมที่มีแก๊สมาก เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลังรับประทานอาหารพยายามเดินย่อยก่อนสัก 5-10 นาที แต่ถ้ารู้สึกว่ามีอาการท้องอืด จุกแน่น เรอหรือผายลมมากผิดปกติ เป็นติดต่อกันนานๆ ขอแนะนำให้พบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
ความลับถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายส่งผลต่อสุขภาพและบุคลิกแบบนี้ คุณควรจะแบ่งปันความทุกข์ในใจให้สมาชิกในครอบครัว หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อชี้ทางออกให้นะคะ








ปวดเบาแต่หนักเกินทน



National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (NKUDIC) รายงานว่าในปี 2000 ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงอายุ 20 ปีขึ้นไป เข้ารับการตรวจและวินิจฉัย เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจำนวนกว่า 8.27 ล้านคน! และพบว่าผู้หญิงอายุ 20-74 ปี คิดเป็น 53.5 % ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ทาง Kidney and Urology Foundation of America ยังสรุปว่าประมาณ 1 ใน 5 ของผู้หญิงอเมริกัน เคยเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ...สรุปแล้ว ในชีวิตลูกผู้หญิง จำนวนกว่าครึ่งเคยทรมานกับโรคนี้มาก่อน!ร่างกายผู้หญิงช่างซับซ้อนอันที่จริงโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สามารถเกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงมักเป็นได้ง่ายและบ่อยกว่า อันเนื่องมาจากสรีระร่างกาย ที่กำหนดให้ผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชาย ดังนั้น เมื่อเชื้อโรคจากช่องคลอดและทวารหนัก เกิดรุกล้ำเข้าไปในท่อปัสสาวะ จึงทำให้เกิดการติดเชื้อ ปวดเบา ...แต่หนัก อาการที่บ่งบอกว่าเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็คือ


ถ่ายปัสสาวะแต่ละครั้งได้น้อย แต่ปวดบ่อย


แสบหรือขัดท่อปัสสาวะขณะถ่ายปัสสาวะ หรือปวดท้องน้อยและหลังส่วนล่าง


ปัสสาวะมีสีขุ่น อาจมีเลือดปนและมีกลิ่นเหม็น


ถ้าปล่อยไว้นาน อาจเกิดการอักเสบลุกลามไปกรวยไต ทำให้มีไข้สูง รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดหลังบริเวณใต้ชายโครง
ปวดแบบนี้...เดี๋ยวค่อยไปก็ได้
การกลั้นปัสสาวะเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้หญิงทรมาน กับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในเวลาต่อมา เพราะใจจดจ่อกับธุระเบื้องหน้าอยากทำต่อเนื่อง หรือกังวลเกี่ยวกับสุขอนามัยของห้องน้ำสาธารณะ ถึงขนาดยอมกลั้นจนกว่าจะถึงบ้าน และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจาก


การทำความสะอาด หลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งควรทำความสะอาด จากด้านหน้าไปด้านหลัง มิฉะนั้นเชื้อโรคบริเวณทวารหนัก และช่องคลอดจะเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้


ใส่กางเกงคับเกินไป ทำให้ไม่ระบายอากาศจนเกิดความอับชื้น รวมถึงการไม่เปลี่ยนผ้าอนามัย หรือใส่ผ้าอนามัยชนิดสอดด้วยมือที่ไม่สะอาด


การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกอนามัย อวัยวะเพศหญิงสัมผัสกับมือ หรืออวัยวะเพศชายที่ไม่สะอาด รวมถึงการเสียดสีกับช่องคลอดส่วน ที่ติดกับกระเพาะปัสสาวะแรงๆ ทำให้เกิดโอกาสถลอก เป็นแผลอักเสบและติดเชื้อได้


การสอดท่อสวนปัสสาวะ หรือเครื่องมือแพทย์ เข้าไปในท่อปัสสาวะที่ไม่สะอาด หรือ สอดไว้นานเกินไป กรณีนี้มักเกิดช่วงผ่าตัด คลอดบุตรหรือผู้สูงอายุ ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายท่อสวนปัสสาวะบ่อยๆ


กังวลช่วงตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์จะปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เพราะการขยายตัวของมดลูก และกระดูกเชิงกราน และน้ำหนักของเด็กเบียดพื้นที่กระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือความเครียดเข้ามาส่งผลอีกด้วย


กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เมื่ออายุมากขึ้น การควบคุมหรือกลั้นปัสสาวะ ก็ลดประสิทธิภาพลง ซึ่งการปัสสาวะเล็ดแบบนี้ เพิ่มโอกาสให้เชื้อแบคทีเรีย เข้าสู่ท่อปัสสาวะได้ง่าย และเมื่อถึงวัยทอง การผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ทำให้เชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด เจริญได้ง่าย เสี่ยงต่อการติดเชื้อท่อในปัสสาวะได้เช่นกัน
วิธีการรักษาและป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำๆ
เมื่อสังเกตหรือสงสัยว่า ตนเองเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ทันที ก่อนที่จะเกิดอักเสบและติดเชื้อมากกว่านี้ โดยแพทย์จะซักถามถึงความบ่อยในการขับปัสสาวะ การดื่มน้ำ และการตรวจกดบริเวณท้องน้อยหรือหลัง หรืออาจนำตัวอย่างปัสสาวะ ไปวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ จากนั้นแพทย์ก็จะจ่ายยารับประทานยาฆ่าเชื้อ หรือฉีดยาตามความเหมาะสม อาจให้ดื่มน้ำผสมโซเดียมคาร์บอเนตครั้งละ 1 ช้อนชา เพื่อลดความเป็นกรด และระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงให้รับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งต้องรับประทานยาจนครบ ตามคำแนะนำของแพทย์ แต่หลังจากอาการดีขึ้นก็ต้องระวังเรื่อง


การไม่กลั้นปัสสาวะ เพราะปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน เป็นแหล่งเพาะเชื้ออย่างดี


ดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน สามารถดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ผสม


หมั่นรักษาความสะอาด และสุขอนามัยของอวัยวะเพศ โดยการเปลี่ยนผ้าอนามัย หรือแผ่นอนามัยบ่อยๆ ทุก 3-4 ชั่วโมง การไม่ใส่กางเกงหรือชุดชั้นในที่รัดหรืออับชื้น เลี่ยงการใส่กางเกงหรือกระโปรงซ้ำๆ โดยไม่ซัก


สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ อาจขอยารับประทานจากคุณหมอติดไว้ที่บ้าน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณยา และวิธีรับประทานอย่างละเอียด
รู้แบบนี้แล้ว เสียเวลาไปเข้าห้องน้ำและใส่ใจความสะอาดสักนิด รับรองว่าปวดเบาจะไม่เป็นปัญหาหนักๆ สำหรับคุณ วิธีการรักษาอาการเบื้องต้นที่บ้านถ้าคุณรู้ว่าตนเองเริ่มมีอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ภายใน 24 ชั่วโมงให้รีบ


ดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดความเข้มข้นของปัสสาวะ และขับเชื้อโรคออกมาให้มากที่สุด


พยายามปัสสาวะให้สุดในแต่ละครั้ง


ถ้ารู้สึกปวดท้องน้อย นำกระเป๋าน้ำร้อนมาวางประคบไว้ เพื่อลดอาการปวดได้ แต่ไม่ควรนอนหลับและประคบทิ้งไว้ตลอดคืน







วิตามินและแร่ธาตุด้านผมหงอกก่อนวัย


โดยปกติผมหงอกตามธรรมชาติ เกิดจากเซลล์มิวเคอร์ (mucor) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารสีดำในร่างกายเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถสร้างสารสีดำได้ จึงทำให้เกิดผมหงอก เซลล์นี้จะเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนผมหงอกก่อนวัยจะพบในคนที่อายุยังน้อย โดยเกิดจากการที่ผมชั้นคอร์เท็กซ์ (cortex) ไม่สามารถสร้างเซลล์ที่คอยผลิตเม็ดสีชื่อเมลาโนไซท์ส (melanocytes) ที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผม หรือ เมลานิน (melanin) ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เม็ดสีผมในร่างกายค่อยๆ ลดจำนวนลงไปทีละน้อยๆ จนเป็นเหตุทำให้ผมหงอกในที่สุดอย่างไรก็ตาม ผมหงอกก่อนวัยมักไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารและยาบางชนิด มีความเครียดก็มีผลต่ออาการได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งพบได้บ่อยในครอบครัวที่มีประวัติผมหงอกก่อนวัย ในผู้ชายมักจะเริ่มหงอกบริเวณขมับและเหนือจอน ส่วนผู้หญิงเริ่มจากบริเวณรอบๆ แนวไรผม ซึ่งจะเริ่มจากปลายผมก่อน แล้วค่อยๆ ลามไปที่โคนผมนอกจากนี้ อาการผมหงอกก่อนวัย ยังเกิดจากโรคที่แฝงอยู่ในตัวคุณได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง โรคซีด โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้เมื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่จนหายขาดแล้ว อาการผมหงอกจะหายไปเอง
วิตามินและแร่ธาตุต้านผมหงอกก่อนวัยการที่ร่างกายจะสามารถสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผมได้อย่างเพียงพอนั้น คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้อย่างเพียงพอก่อน

1.
ทองแดง พบมากในถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน ลูกเกด ลูกพลับ กล้วยตาก แครอท หัวไชเท้า เผือก มัน ผลไม้สดทุกชนิด

2.
ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือไอโอดีน

3.
เหล็ก มีมากในปลา ลูกเกด ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง ใบชะพลู ผักโขมหนาม และผักกูด

4.
กรดโฟลิก พบมากในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง แครอท ฟักทอง ไข่แดง และตับ

5.
กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล

6.
พาบา อยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินเทียมที่ละลายในน้ำ พบมากในจมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง โยเกิร์ต และผักใบเขียว

7.
ไบโอติน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ พบมากในอาหารจำพวกถั่วเหลือง และซีเรียล (การกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การสังเคราะห์ไบโอตินในลำไส้ลดลง)
อาหารยับยั้งผมหงอกก่อนวัยกลุ่มอาหารที่มีความจำเป็นต่อการยับยั้งผมหงอกก่อนวัยมีดังนี้

1.
สาหร่ายทะเล นำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกข้าวปั้น ต้มจืด หรืออบกรอบกินเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง นอกจากจะช่วยยับยั้งผมหงอกก่อนวัยแล้ว ยังช่วยทำให้ผมดกดำด้วย เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และไอโอดีน

2.
งา โรยงาลงในอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยยับยั้งปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้ เพราะในงามีไขมันจากธรรมชาติ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่

3.
เครื่องดื่มสมุนไพร ปั่นแครอทหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย หัวไชเท้าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย และน้ำเย็นจัด 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน กรองเอาแต่น้ำใส่ในแก้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดื่มทันที
ครีมหมักผมสมุนไพรต้านผมหงอกเพียงนำสมุนไพรที่เราแนะนำต่อไปนี้ มาทำเป็นครีมหมักผม จะช่วยต้านปัญหาผมหงอกก่อนวัยของคุณได้

1.
นำใบบัวบกสดปั่นกับน้ำสะอาดปริมาณพอเหมาะให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว จากนั้นนำมาชโลมผม หรือนวดหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2.
นำใบบัวบกสดมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แล้วชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นสระผมตามปกติด้วยแชมพูสมุนไพร

3.
นำน้ำมันมะกอกนวดหนังศีรษะ ใช้ผ้าโพกหัวทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำผลมะกรูด 2-3 ผล เผาไฟพอสุก จากนั้นนำมาขยำกับน้ำ และนำน้ำที่คั้นได้ไปสระผม

4.
ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ชโลมผมจนทั่ว อย่าให้เปียกมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ผมจะแห้งพอดี ทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น และหลังสระผม
เมื่อแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี นอกจากจะไร้ปัญหาเรื่องผมหงอกก่อนวัยแล้ว อาจส่งผลให้คุณมีผมดกดำสลวยอย่างคนสุขภาพดีได้อีกด้วย ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แล้วมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรรีบไปพบแพทย์โรคผิวหนัง เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และหาทางรักษาที่ถูกวิธีต่อไป



วิตามินและแร่ธาตุด้านผมหงอกก่อนวัย


โดยปกติผมหงอกตามธรรมชาติ เกิดจากเซลล์มิวเคอร์ (mucor) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารสีดำในร่างกายเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถสร้างสารสีดำได้ จึงทำให้เกิดผมหงอก เซลล์นี้จะเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนผมหงอกก่อนวัยจะพบในคนที่อายุยังน้อย โดยเกิดจากการที่ผมชั้นคอร์เท็กซ์ (cortex) ไม่สามารถสร้างเซลล์ที่คอยผลิตเม็ดสีชื่อเมลาโนไซท์ส (melanocytes) ที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผม หรือ เมลานิน (melanin) ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เม็ดสีผมในร่างกายค่อยๆ ลดจำนวนลงไปทีละน้อยๆ จนเป็นเหตุทำให้ผมหงอกในที่สุดอย่างไรก็ตาม ผมหงอกก่อนวัยมักไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารและยาบางชนิด มีความเครียดก็มีผลต่ออาการได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งพบได้บ่อยในครอบครัวที่มีประวัติผมหงอกก่อนวัย ในผู้ชายมักจะเริ่มหงอกบริเวณขมับและเหนือจอน ส่วนผู้หญิงเริ่มจากบริเวณรอบๆ แนวไรผม ซึ่งจะเริ่มจากปลายผมก่อน แล้วค่อยๆ ลามไปที่โคนผมนอกจากนี้ อาการผมหงอกก่อนวัย ยังเกิดจากโรคที่แฝงอยู่ในตัวคุณได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง โรคซีด โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้เมื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่จนหายขาดแล้ว อาการผมหงอกจะหายไปเอง
วิตามินและแร่ธาตุต้านผมหงอกก่อนวัยการที่ร่างกายจะสามารถสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผมได้อย่างเพียงพอนั้น คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้อย่างเพียงพอก่อน

1.
ทองแดง พบมากในถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน ลูกเกด ลูกพลับ กล้วยตาก แครอท หัวไชเท้า เผือก มัน ผลไม้สดทุกชนิด

2.
ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือไอโอดีน

3.
เหล็ก มีมากในปลา ลูกเกด ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง ใบชะพลู ผักโขมหนาม และผักกูด

4.
กรดโฟลิก พบมากในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง แครอท ฟักทอง ไข่แดง และตับ

5.
กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล

6.
พาบา อยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินเทียมที่ละลายในน้ำ พบมากในจมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง โยเกิร์ต และผักใบเขียว

7.
ไบโอติน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ พบมากในอาหารจำพวกถั่วเหลือง และซีเรียล (การกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การสังเคราะห์ไบโอตินในลำไส้ลดลง)
อาหารยับยั้งผมหงอกก่อนวัยกลุ่มอาหารที่มีความจำเป็นต่อการยับยั้งผมหงอกก่อนวัยมีดังนี้

1.
สาหร่ายทะเล นำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกข้าวปั้น ต้มจืด หรืออบกรอบกินเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง นอกจากจะช่วยยับยั้งผมหงอกก่อนวัยแล้ว ยังช่วยทำให้ผมดกดำด้วย เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และไอโอดีน

2.
งา โรยงาลงในอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยยับยั้งปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้ เพราะในงามีไขมันจากธรรมชาติ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่

3.
เครื่องดื่มสมุนไพร ปั่นแครอทหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย หัวไชเท้าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย และน้ำเย็นจัด 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน กรองเอาแต่น้ำใส่ในแก้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดื่มทันที
ครีมหมักผมสมุนไพรต้านผมหงอกเพียงนำสมุนไพรที่เราแนะนำต่อไปนี้ มาทำเป็นครีมหมักผม จะช่วยต้านปัญหาผมหงอกก่อนวัยของคุณได้

1.
นำใบบัวบกสดปั่นกับน้ำสะอาดปริมาณพอเหมาะให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว จากนั้นนำมาชโลมผม หรือนวดหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2.
นำใบบัวบกสดมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แล้วชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นสระผมตามปกติด้วยแชมพูสมุนไพร

3.
นำน้ำมันมะกอกนวดหนังศีรษะ ใช้ผ้าโพกหัวทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำผลมะกรูด 2-3 ผล เผาไฟพอสุก จากนั้นนำมาขยำกับน้ำ และนำน้ำที่คั้นได้ไปสระผม

4.
ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ชโลมผมจนทั่ว อย่าให้เปียกมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ผมจะแห้งพอดี ทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น และหลังสระผม
เมื่อแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี นอกจากจะไร้ปัญหาเรื่องผมหงอกก่อนวัยแล้ว อาจส่งผลให้คุณมีผมดกดำสลวยอย่างคนสุขภาพดีได้อีกด้วย ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แล้วมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรรีบไปพบแพทย์โรคผิวหนัง เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และหาทางรักษาที่ถูกวิธีต่อไป


เคล็ดลับ 10 ประการ เพื่อผมสวย


คนส่วนมากมักมาพบแพทย์ผิวหนังด้วยเรื่องปัญหาผมร่วงหรือผมบาง ซึ่งมีสาเหตุมากมาย เช่น ผมร่วงเฉพาะที่ (Alopecia areta) ผมบางแบบกรรมพันธุ์ ผมร่วงจากความเครียด เป็นต้น ซึ่งการรักษาส่วนมากต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และระหว่างนี้ คนเหล่านี้ก็มักจะถามว่าควรดูแลสุขภาพผมให้ดีได้อย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่แพทย์ผิวหนังจะโดนถามบ่อยมาก ผมจึงรวบรวมเคล็ดลับการดูแลผมซึ่งสามารถใช้ได้กับผมปกติ เพื่อที่เส้นผมเหล่านี้จะอยู่กับคุณต่อไปได้นานๆ ครับ อย่ายุ่งกับผมมากนัก เวลาที่คุณไปร้านทำผมนั้น ช่างทำผมมักแนะนำให้ทำผมต่างๆ มากมายนอกจากการสระหรือตัดผม เช่น ย้อม ดัด หมัก และในปัจจุบันมีการทำสปาหนังศีรษะและผมอีก ซึ่งผมมักแนะนำว่าให้ทำได้ แต่อย่าทำบ่อยเกินไป อย่าลืมว่าผมของคุณนั้นเป็นส่วนที่ตายแล้ว ถ้าคุณไปดัดหรือย้อมผมมากเกินไป จนเสียแตกหรือหักแล้วก็ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ครับ เลือกหวี (comb) ที่ดี
สิ่งที่ทำอันตรายต่อเส้นผม หรือหนังศีรษะที่สำคัญประการหนึ่งคือ การหวีผม เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนอื่นควรเลือกหวีที่มีฟันกว้างพอสมควร เพราะถ้าคุณเลือกหวีที่ฟันแคบไป ก็จะเป็นอันตรายต่อเส้นผมหรือหนังศีรษะได้ และถ้าสามารถเลือกหวีที่มีสารเทฟลอน (Teflon) เคลือบไว้ที่ฟันด้วยก็จะช่วยลดแรงเสียดทานต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าต้องหวีผมให้ได้ถึงวันละ 100 หน เพื่อให้ผมมีสุขภาพที่ดี เป็นความเชื่อที่ผิดนะครับ เพราะถ้าคุณหวีวันละ 100 หนเป็นเวลานานๆ ผมจะร่วงมากกว่าครับ เพราะเป็นการทำอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ โดยทั่วไปผมแนะนำให้หวีวันละ 5-10 ครั้งก็พอแล้ว เลือกแปรง (brush) ที่ดี
ลักษณะของแปรงผมที่ดี ควรมีตัวฟันแปรงห่างกันพอสมควร และทำด้วยพลาสติกที่มีปลายเป็นจุดบอลเล็กๆ ติดอยู่เพื่อลดโอกาสที่จะขีดข่วน ทำอันตรายต่อหนังศีรษะของคุณ ปัจจุบันแปรงที่กำลังนิยมกันมาก คือแปรงที่ทำจากไม้ซี่เล็กๆ มีปลายค่อนข้างแหลม เพราะเชื่อว่าเป็นผลิตธรรมชาติที่ดี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อก็คือลองแปรงผมของคุณ ถ้าคุณรู้สึกเจ็บหรือปวดก็แสดงว่าแปรงนั้นไม่เหมาะกับหนังศีรษะของคุณ อย่าหวีผมตอนผมเปียก
เวลาหลังสระผมนั้นผมมักจะเปียกและพันกัน คนส่วนมากมักจะหวีหรือแปรงผมเพื่อที่จะให้ผมดูดี แต่เวลาที่ผมเปียกนั้นเป็นช่วงที่เส้นผมจะอ่อนแอมาก ไม่ควรไปทำอะไรกับเส้นผมช่วงนั้นมาก อาจจะใช้นิ้วมือช่วยสางผมจากโคนผมถึงปลายผม และเมื่อเวลาที่ผมเกือบแห้งแล้ว จึงค่อยใช้หวีหรือแปรงผมจะดีกว่าครับ ไม่ควรเป่าผมด้วยความร้อน
คนส่วนใหญ่นิยมเป่าผมให้แห้งโดยใช้ความร้อนสูง โดยใช้เครื่องเป่าผมที่บ้านหรือใช้ที่ครอบผม (hood) ในร้านทำผม ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะความร้อนจะสลายเส้นผมได้ และทำให้น้ำในเส้นผมระเหยออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด "bubble hair" ซึ่งจะทำให้เส้นผมแตกหักได้ ความจริงแล้วควรใช้ที่เป่าผมให้ลมออกมาในอุณหภูมิปกติ (แต่ผู้ใช้ส่วนมากมักไม่ชอบ) ผมจึงแนะนำให้ใช้ความร้อนน้อยที่สุดก็แล้วกันครับ อย่าแกะหรือเกาหนังศีรษะ
ในคนที่มีรังแคหรือผิวหนังอักเสบที่ศีรษะ บางคนจะมีอาการคันที่หนังศีรษะร่วมด้วย และมักจะคอยแกะหรือเกาทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งบางทีจะรักษายากกว่าอาการรังแคเองเสียอีก ถ้าคุณมีรังแคหรือคันศีรษะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า เพราะอาจจำเป็นต้องใช้โลชั่นในกลุ่มของสเตียรอยด์ ร่วมกับแชมพูยาสระผม และในรายที่มีอาการคันมากอาจต้องใช้ยา antihistamine ชนิดรับประทานเพื่อช่วยอาการคันในช่วงแรกครับ ลองใช้ conditioning shampoo ดู
ส่วนมากคนที่มาหาหมอผิวหนังนั้น มักมีผมที่เสียมากพอสมควร การใช้แชมพูที่ผสมครีมนวดผม (conditioner) จะช่วยได้ แต่หมอผิวหนังก็มักแนะนำให้ใช้แยกกัน โดยใช้ครีมนวดผม (conditioner) ตามหลังแชมพู ควรใช้ instant conditioner ตามหลังการสระผม
instant conditioner ก็คือ conditioner ที่ใช้ทันทีหลังสระผม ซึ่งพวกนี้ระยะหลังๆ มักมีสารซิลิโคน (silicon) ประกอบด้วย การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จะช่วยให้สภาพเส้นผมดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ ลองใช้ deep conditioner อาทิตย์ละหน
การ ใช้ deep conditioner จะเหมาะกับผมที่ได้รับการดัด ย้อม หรือทำเป็นเส้นตรง โดยการหมักไว้ประมาณ 20-30 นาที ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ชนิดน้ำมัน (oil) หรือโปรตีน (protein) โดยมากผมมักแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน เพราะใช้ได้ทุกสภาพเส้นผม ส่วนชนิดน้ำมันเหมาะกับผมหยักศกที่ยืดเป็นผมเส้นตรง ตัดผมเสียที่ปลายผมออกไป
คนส่วนมากมักไม่ค่อยอยากตัดผมที่เสียบริเวณปลายผมทิ้ง เพราะอยากเก็บผมไว้นานๆ แต่หมอผิวหนังมักแนะนำให้ตัดเล็มออกไป เพราะผมที่เสียแล้วไม่มีประโยชน์ แถมยังทำให้ผมฟูฟ่องจัดทรงได้ยากอีกด้วยครับ อ่าน 10 วิธีดูแลรักษาเส้นผมให้ดีนี้แล้ว อย่าลืมนำไปปฏิบัตินะครับ เพื่อผมสวยสุขภาพแข็งแรงไปได้อีกนาน

สาว 6 อาชีพ กับเส้นเลือดขอด



เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว! เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขา ตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้นสาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจ โดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้น พลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิท เลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอด แตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรงและหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิง ที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็น คุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง และสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียด ทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้


คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น “เรือจ้าง” เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่อง และรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย


นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้น มีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้ จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้น จะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่อง เพื่อป้องกันไว้ก่อน


แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทน และโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศ จากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ย ขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า


พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืน หมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกัน ประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!


พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก


สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจ คิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมา เพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี
ทั้งนี้ หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอด ก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วม ก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวด ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัด ที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคนวิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด


ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา


หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับ ต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่อง และขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพก และหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง


หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่อง รัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว
การรักษาแบบไม่ผ่าตัดส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวม มากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตัน ให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียว อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหาก เป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่อง เพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือด กระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุน ยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า
การรักษาแบบผ่าตัดเป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัด และใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอด แล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอด มีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที







ปรับสมดุลทุก 10 ปี


แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บ หรือความเสื่อมของร่างกายไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุข โดยการหาวิธีรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องดูแล ภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีพร้อมๆ กับการฟิตร่างกาย ให้พร้อมสำหรับสุขภาพในอนาคต 20-29 วัยแห่งการบั่นทอนสุขภาพ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างชีวิตวัยเรียนและชีวิตการทำงาน สาวๆ วัยนี้จึงเต็มไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นต่อ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ รอบตัว จึงไม่น่าแปลกที่การดำเนินชีวิตจะค่อนข้างสมบุกสมบัน เช่น การอ่านหนังสือเรียนจนดึกดื่น การทำงานอย่างเคร่งเครียดไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้กระทั่งร่วมฉลองทุกสุดสัปดาห์กับเพื่อนๆ ด้วยการดื่มและท่องราตรี แม้จะได้เปรียบเรื่องอายุ ร่างกายฟื้นตัวเร็ว แต่หากยังคงใช้ชีวิตแบบสุดขั้วเป็นประจำ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น


โรคอ้วน มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง เนื่องจากหาซื้อง่ายและสะดวกรวดเร็ว หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน โดยเฉพาะชาหรือกาแฟร้อน-เย็น ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและคาเฟอีน ซึ่งหากรับประทานมากกว่า 3 แก้วต่อวันมีผลต่อการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่


การปวดประจำเดือน มักเป็นอาการยอดนิยมของผู้หญิงวัยทำงาน การปวดประจำเดือนเกิดจากหลายสาเหตุตั้งแต่พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต ภาวะความเครียดและอาหาร แต่เราสามารถบรรเทาอาการปวดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้น เช่น การงดดื่มชาและกาแฟ การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาทีประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 6 หรือน้ำมันอีฟนิ่งพรีมโรสก่อนเวลามีประจำเดือน เพื่อบรรเทาอาการปวด


รู้จักดูแลถนอมตับที่อาจทำงานหนักเกินไป โดยเฉพาะคนรับประทานอาหารที่มีรสเค็มและมีปริมาณไขมันสูง หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้และหันไปรับประทานผักผลไม้มากๆ แทน เพื่อเร่งการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จากการวิจัยพบว่าการดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษใน ร่างกายได้ดี
30-39 วัยแห่งการเตรียมพร้อมรับมือจากความเสื่อมต่างๆ หากพูดถึงอายุเมื่อขึ้นเลข 3 หลายคนรู้สึกเขินหรือบ่ายเบี่ยงที่จะตอบทุกครั้งที่มีคนถาม อย่างไรก็ตามลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพหรือการดำเนินชีวิตเท่าไรนักหากเปรียบกับความแข็งแรงของร่างกาย ช่วงอายุนี้จึงควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นและออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูอวัยวะ ต้านความเสื่อมจากภายในสู่ภายนอก


ป้องกันโรคกระดูกพรุนก่อนวัย ภาวะมวลกระดูกสูงสุด ( peak bone mass) จะหยุดอยู่ช่วงอายุ 30-35 ปี หลังจากนั้นร่างกายจะรักษาระดับมวลกระดูกไว้คงที่ จนกระทั่งอายุมากขึ้น ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ ทำให้กระดูกบางและแตกง่าย เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนในอนาคต ดังนั้นช่วงอายุดังกล่าวจึงไม่ยังไม่สายเกินไปที่จะสะสมแคลเซียมให้กระดูก โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เช่น เต้าหู้ นม โยเกิร์ต ผักใบเขียว ปลากระป๋องหรือปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งกระดูกและผลไม้ต่างๆ


เพิ่มพลังเมตาโบลิสม เคยมีรายงานกล่าวว่าทุก 10 ปีที่อายุมากขึ้นน้ำหนักจะเพิ่มประมาณ 5 กิโลกรัม ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดประสิทธิภาพการทำงานลง ประกอบกับตนเองยังรับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิมและมีวิถีชีวิตเหมือนเดิม ซึ่งหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตก็อาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ดังนั้นวิธีพื้นฐานในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานคือ รับประทานคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างพอเหมาะ ลดปริมาณไขมันลง เพิ่มผักหรือผลไม้ในแต่ละมื้อให้มากขึ้น บางคนอาจลองรับประทานอาหารปริมาณครั้งละน้อยๆ แต่รับประทาน วันละหลายๆ มื้อ เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อใหญ่ๆ


เพิ่มพลังให้ผิวสวย ไร้ริ้วรอย ผู้หญิงวัยนี้สามารถฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัยด้วยการนอนหลับให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง ประกอบกับรับประทานผลไม้และผักมากๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินอีมาก เช่น นม ไข่ ถั่ว ผักโขม มะเขือเทศ เป็นต้น รวมถึงการรับประทานน้ำ ให้ได้วันละ 7-8 แก้ว เพื่อเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ผลัดเซลล์เก่าภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทาครีมบำรุงและครีม- กันแดด ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจ้า เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น แห้งกร้าน เป็นสาเหตุทำให้มีริ้วรอยก่อนวัย
40-49 วัยแห่งการปรับตัวเท่าทันโรค ช่วงนี้ถือวัยที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำงานภายในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหมดประจำเดือน (menopause) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้นแต่ยังมีผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจอีกด้วย


การรับมือจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เนื่องจากเมื่อเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะหยุดการทำงาน ทำให้มีผลต่อการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ เช่น ผิวแห้งและแพ้ง่าย เกิดอาการร้อนวูบวาบ ความดันโลหิตสูง ปวดหัวไมเกรนบ่อยๆ ช่องคลอดแห้งมีอาการคันและแสบ ภาวะนอนไม่หลับและโรคกระดูกพรุน ทั้งนี้เราสามารถรับมือกับโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยการปรึกษาแพทย์ ขอคำแนะนำในการรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อบรรเทาอาการข้างต้น นอกจากนี้ยังต้องหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ต้องมีใยอาหาร แคลเซียมมากๆ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเสื่อมมากยิ่งขึ้น โดยการรับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งประกอบด้วยเอสโตรเจนจากธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ธัญพืชและผักผลไม้ต่างๆ เป็นต้น


รับมือกับภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำตำหนิเมื่อเจอผู้หญิงสูงวัยที่หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนว่า “ อยู่ในภาวะหมดประจำเดือน ” ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ ถูกต้อง ( ไม่นับนิสัยส่วนตัว) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อถึงวัย แต่เราสามารถ ควบคุมและจัดการกับอารมณ์แปรปรวนหรือความเครียดนี้ได้ โดยการหากิจกรรมที่ผ่อนคลายจิตใจ เช่น ฟังเพลงเบาๆ ท่องเที่ยวกับครอบครัว พูดคุยปรึกษากับเพื่อน เป็นต้น และที่สำคัญควรงดสูบ-บุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องระวังโรคร้ายอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกปี
50-59 วัยแห่งการปรับสมดุลชีวิตสู้โรคภัย หลายคนในช่วงวัยนี้ประสบภาวะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ ทั้งนี้แม้ว่าจะรู้อาการของโรคและวิธีการรักษา แต่ก็ยังต้องการความดูแลเอาใจใส่ต่อสุขภาพและการควบคุมไม่ให้โรคร้ายแรงขึ้นโดยไม่ประมาท พื้นฐานของการดูแลรักษาไม่ให้โรคกำเริบหรือเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ คือ การทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะต่อโรคนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น


โรคเบาหวาน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ควรเน้นผักและผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมากและให้ใยอาหารสูง ไม่สวมเสื้อผ้าหรือใส่รองเท้าบีบรัดมากเกินไปและดูแลร่างกายไม่ให้เกิดบาดแผล โดยเฉพาะบริเวณเท้า หลังอาบน้ำตอนเย็นทุกวันให้ใช้กระจกส่องฝ่าเท้าเพื่อเช็คว่ามีแผลหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีแผลให้รีบทำความสะอาดและเฝ้าระวังไม่ให้แผลลุกลาม หรือให้รีบไปพบแพทย์ทันที


โคเลสเตอรอลสูง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ส่วนหนังและไขมันสัตว์ รวมถึงอาหารทะเลต่างๆ ทั้งนี้สำหรับบางคนที่ต้องรับประทานยาที่แพทย์แนะนำก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ และหมั่นออกกำลังกายเพื่อช่วยการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดียิ่งขึ้น


โรคไขข้อ พยายามควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน เพราะจะทำให้กระดูกและข้อแบกรับน้ำหนักมาก ทำให้อาการปวดยิ่งรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การลุกนั่ง นอกจากนี้ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เน้นประเภทที่ไม่กระเทือนข้อเข่า เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ รำไทเก็ก ชี่กง ฯลฯ
ดังนั้นผู้หญิงควรเอาใจใส่ดูแลความสวยงามและสุขภาพร่างกายไปพร้อมๆ กัน โดยเริ่มตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ ทั้งนี้หากอายุมากคิดจะกลับไปสุขภาพดีเหมือนเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ เป็นสัจธรรมของธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการดูแลตามสภาพของวัยอย่างเหมาะสม สามารถช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้นและมีความสุข







ขยับกาย คลายปวดข้อรูมาตอย



ไขข้อข้องใจรูมาตอยด์
โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่รุนแรง และอาจทำให้พิการได้ โรคนี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า และส่วนใหญ่จะพบในช่วงอายุ 20-50 ปี
สาเหตุมาจากการอักเสบเรื้อรัง ของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อมกัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืด เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีการตอบสนองอย่างผิดปรกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจว่า เนื้อเยื่อข้อปรกติเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างกระบวนการกำจัดสิ่งแปลกปลอมขึ้น และส่งผลให้ข้ออักเสบ ซึ่งอาจจะเรียกอีกอย่างได้ว่า แพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune)
สังเกตอาการ
อาการของโรคนี้ จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อย ไป เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ชาปลายมือปลายเท้า โดยเฉพาะเวลาที่ร่างกายกระทบกับอากาศเย็นๆ หลังจากนั้นจะปวดเมื่อยตามตัวและข้อต่างๆ แล้วจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น โดยข้อที่เริ่มมีการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเข่า ข้อศอก ต่อมาจะเป็นข้อไหล่ ส่วนข้อศอกจะปวดพร้อมกันทั้งสองข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวม ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย
อาการปวดข้อจะมีลักษณะเฉพาะคือ ข้อแข็งขยับลำบาก มักจะเป็นมากในเวลาที่อากาศหนาวเย็น หรือในตอนเช้า พอสายๆ อาการจะทุเลา เข้าใจว่าความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลต่อแรงดันภายในข้อที่เสื่อม โดยอาจไปบีบรัดปลายประสาทที่โผล่ออกมา
อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวันและมากขึ้นๆ เป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับมีอาการกำเริบรุนแรงขึ้นอีก ขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์ ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้อจะแข็งและพิการ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการซีด ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง
วิธีดูแลตัวเอง

1.
นอกจากจะบำบัดรักษาด้วยการใช้ยาแล้ว ผู้ป่วยควรรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งแนะนำให้ทำในช่วงเช้าประมาณ 15 นาที

2.
ต้องเคลื่อนไหวข้อ และฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่งๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่ง ข้อยิ่งแข็งฝืดและขยับยากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรฝึกกายบริหารในท่าต่างๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ข้อลดความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

3.
ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่นๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4.
ควรรู้สมดุลร่างกายของตัวเอง ว่าเมื่อใดควรพักข้อที่อักเสบ และเมื่อใดควรให้ข้อนั้นออกกำลังกาย จะช่วยให้รับมือกับโรคได้ดีขึ้น เช่น เมื่อข้อเกิดการอักเสบรุนแรงขึ้น ให้หยุดการออกกำลังบริเวณข้อทันที และเริ่มออกกำลังใหม่เมื่อการอักเสบลดลงแล้ว

5.
การออกกำลังกายในสภาพไร้น้ำหนัก เช่น ว่ายน้ำ เป็นวิธีดีที่ที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ

6.
การนวด ถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ทุเลาลงได้ ส่วนการใช้ยาทาถูนวดต่างๆ ที่ใช้สำหรับแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เช่น ยาหม่อง จะช่วยให้หายปวดได้ชั่วคราว เช่นเดียวกับการใช้ยาแก้อักเสบในรูปครีม นวดบริเวณรอบๆ ข้อที่มีการอักเสบ ก็จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ชั่วคราวเช่นกัน
ห่างไกลรูมาตอยด์ด้วยอาหาร
มีข้อเสนอแนะว่า การได้รับอาหารที่มีสารต้านออกซิเดชั่นในปริมาณเล็กน้อย ได้แก่ ธาตุซีลีเนียม วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ ดังนั้นอาหารประจำวันควรมีผัก และผลไม้สดในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ได้รับวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน
ส่วนอาหารที่เป็นแหล่งวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง ผลอะโวคาโด และเมล็ดทานตะวัน อาหารที่มีซีลีเนียม ได้แก่ ปลาที่มีไขมันมาก ธัญพืช และไข่ นอกจากนี้ปลาที่มีไขมันมากหรือน้ำมันปลา ยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่อาจช่วยลดการอักเสบภายในร่างกายด้วย
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคนี้ให้หายขาด ส่วนแผนการรักษาโรคส่วนใหญ่จะผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน ทั้งการใช้ยา การออกกำลังกาย การบำบัดด้วยความร้อนและความเย็น การพักผ่อน และบางรายอาจต้องใช้วิธีผ่าตัดด้วย แต่คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับป้องกันโรคนี้ คือการดูแลร่างกายให้แข็งแรงมีภูมิต้านทานที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม และที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกายด้วยค่ะ



เกาต์ โรคปวดข้อที่ป้องกันได้



เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อน ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวงการแพทย์สากล ได้พูดถึงโรคๆ หนึ่ง ที่มีอาการปวดตามข้อ โดยเฉพาะหัวแม่เท้า ว่า โรคเกาต์ ซึ่งโรคนี้ตั้งชื่อตามภาษาลาติน “Gutta” หมายถึง การอักเสบบริเวณข้อ
เริ่มต้นรู้จัก อะไรคือ เกาต์
หากเราจะกล่าวถึงโรคเกาต์ อย่างน้อยที่สุดเราจำเป็นต้องรู้ว่า โรคนี้เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มโรคไขข้ออักเสบ (Arthritis) ซี่งมีโรคอื่นๆ ในกลุ่มคือ ข้อเสื่อม รูมาทอยด์ ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ เป็นต้น
ส่วนอาการของโรคเกาต์ มักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นฉับพลัน ถ้าปวดครั้งแรกมักจะเป็นข้อเดียว แต่ถ้าปล่อยไว้นานเกินไป จากข้อเดียวจะลามเป็น 2 และ 3 ข้อ ต่อไป โดยในช่วงแรกๆ มักจะเกิดที่นิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า คนที่เป็นข้อมักจะบวม และเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง
โดยระยะแรก อาการจะเป็นอยู่ไม่กี่วันแล้วหายไปเอง และกำเริบที่ข้อเดิมทุก 1-2 ปี แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเดือนละหลายครั้ง อาการปวดมักเริ่มตอนกลางคืน หรือหลังดื่มแอลกอฮอล์ คนที่เป็นมากอาจมีผลต่อสุขภาพจิตด้วย
ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจมีตุ่ม ก้อน ขึ้นตามเนื้อตามตัว เราเรียกตุ่มนั้นว่า ตุ่มโทไฟ (Tophi) บางครั้งตุ่มก้อนนั้นอาจแตก แล้วมีสารเหมือนแป้งเปียกไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า แล้วในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการจนใช้งานไม่ได้
โดยอัตราความเสี่ยงที่จะเป็น พบว่าผู้ชายมีโอกาสเป็นได้มากกว่าผู้หญิง ประมาณร้อยละ 90 และมักเป็นเมื่ออายุสูงกว่า 40 ขึ้นไป สำหรับผู้หญิงมักจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือนแล้ว
ส่วนอาการแทรกซ้อนที่มักจะเกิดร่วมด้วย หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยมักจะมีอาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และภาวะไตวาย
เรียนรู้สาเหตุโรคเกาต์กันเถอะ
โรคเกาต์ เป็นโรคที่เกิดจากการตกตะกอนของ กรดยูริก ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่ได้จากการย่อยสลายของสาร เพียวริน (Purine) ที่มีมากในเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก หอย ปู หรือปลาตัวเล็กที่กินทั้งกระดูก เช่น ปลาไส้ตัน ปลาซาดีนกระป๋อง นอกจากนี้ยังมีอยู่ในผักยอดอ่อนบางประเภทด้วย เช่น เห็ด กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก สะตอ เป็นต้น
โดยปกติแล้ว คนที่เป็นโรคเกาต์ มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมพันธุ์ จากการสำรวจผู้ป่วยพบว่า มักมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น หากใครรู้ว่าคนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคเกาต์ ก็ควรระวังในเรื่องการกินอาหารเป็นพิเศษ เพราะในคนปกติทั่วไป หากกินเนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ และผักยอดอ่อนประเภทที่กล่าวมาแล้วในปริมาณมาก ร่างกายจะมีการสร้างกรดยูริกมากขึ้น แต่ก็สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกทางไตได้
ส่วนคนที่เป็นโรคเกาต์ หากกินอาหารที่มีสารเพียวรินมาก ร่างกายจะสร้างกรดยูริกขึ้นมา แต่ไม่สามารถขับออกได้หมด จึงมีการสะสมกรดยูริกส่วนเกินไว้ในร่างกาย แล้วตกตะกอนอยู่ตามข้อ ตามผนังหลอดเลือด ในไต อวัยวะต่างๆ และทำให้เป็นโรคเกาต์ขึ้นได้
นอกเหนือจากการกินอาหารที่มีเพียวรินเยอะแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคเกาต์ด้วย เช่น อาการบาดเจ็บจากการกระแทกบ่อยๆ การบริโภคแอลกอฮอล์ อากาศเย็น และผลข้างเคียงจากยา เช่น แอสไพริน ยารักษาวัณโรค ยาขับปัสสาวะ
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
เนื่องจากเป็นโรคที่มีลักษณะเรื้อรัง รักษาให้หายได้ยาก ดังนั้น ผู้ที่เป็น จำเป็นต้องดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้ที่เป็นโรคเกาต์นั้น ควรลดอาหารที่ก่อให้เกิดกรดยูริกมาก ดังนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน เราจึงเสนออาหารในแนวชีวจิตมาให้ท่านได้ลองปฏิบัติกัน


คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง ข้าวซ้อมมือ ถ้าเป็นขนมปังขอให้เป็นขนมปังโฮลวีท โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต้องรับประทาน คือ 50 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ


ผัก มีทั้งผักสด และผักสุก คนที่เป็นโรคเกาต์สามารถเลือกผัก ที่ไม่ก่อให้เกิดกรดยูริกตกค้างในกระแสเลือดมากเกินไปได้ โดยปริมาณผักที่เราจะรับประทานคือ 25 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ


โปรตีน แม้คนที่เป็นโรคเกาต์จะไม่สามารถรับประทานอาหารประเภทโปรตีนได้มาก แต่ก็มีโปรตีนบางประเภทที่สามารถกินได้ เช่น เนื้อปลา โดยปริมาณที่รับประทานคือ 15 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ อย่างไรก็ตามเรากินสักอาทิตย์ละครั้ง 2 ครั้ง ก็ดีเหมือนกัน เพื่อให้ร่างกายปรับอยู่ในระดับสมดุลได้ดี ถึงอย่างนั้นผู้ป่วยโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว เป็นต้น เพราะถั่วเหล่านี้มีสารเพียวรีนสูง


ในหมวดเบ็ดเตล็ด ก็ให้เน้นในเรื่องผลไม้ต่างๆ เช่น มะละกอ ฝรั่ง พุทรา ผลไม้แห้ง และสาหร่ายทะเล โดยปริมาณรวมกันแล้ว 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละมื้อ
ทั้งนี้ คนที่เป็นโรคเกาต์ แม้จะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ เราก็ควรจะออกกำลังกายเสริมด้วย ด้วยการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ไม่กระทบข้อที่ปวดมากนัก แต่หากท่านใดมีอาการดีขึ้นแล้ว การรำตะบอง ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายในแนวชีวจิต ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นการบริหารกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมประสาท ซึ่งเมื่อประกอบกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้องแล้ว จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี
อย่างไรก็ตาม โรคเกาต์สามารถเกิดขึ้นได้ไม่เฉพาะผู้สูงอายุ แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ดังนั้นระวังสักนิดก่อนจะบริโภคอะไร




ลดระดับคอเลสเตอรอลในอาหาร


การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้น ทุกท่านควรเข้าใจถึงแนวทาง ในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด
หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

1.
รับประทานโคเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม


โคเลสเตอรอล มีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2.
รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


โดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.
หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง


เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น (ดูรายละเอียดในแผ่นพับ “ไขมันอิ่มตัวกับภาวะโคเลสเตอรอลสูง ในเลือด” : รศ.ดร. ปรียา ลีฬหกุล )

4.
รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ


ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด จากสาเหตุอื่นๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัด จะช่วยเสริมผลการรักษา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้
ปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหาร









น้ำมันพืชกินแล้วช่วยลดคอเรสเตอรอลจริงไหม?


คำตอบคือ ไม่จริง ทั้งนี้เพราะน้ำมันพืชแต่ละอย่างมีไขมันชนิดต่างๆ ไม่เหมือนกัน บางชนิดมีน้ำมันดี (unsaturated fats) บางชนิดมีน้ำมันเลว (saturated fats) ต่อหัวใจ น้ำมันเลวเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว จะไปเปลี่ยนเป็นโคเลสเตอรอลได้มากกว่า
น้ำมันแต่ละชนิดที่มีในท้องตลาดมีไขมันเลว คือ ไขมันอิ่มตัวเป็นเปอร์เซ็นต์ต่างๆ ดังนี้
น้ำมันมะพร้าว
92%
เนยเหลว
64%
น้ำมันในเนื้อสัตว์
52%
น้ำมันปาล์ม
51%
น้ำมันหมู
41%
น้ำมันไก่
1%
น้ำมันถั่วลิสง
18%
น้ำมันถั่วเหลือง
15%
น้ำมันมะกอก
14%
น้ำมันข้าวโพด
13%
น้ำมันดอกทานตะวัน
9%
น้ำมันดอกคำฝอย
9%
น้ำมันแคโนลา
6%


จากตัวเลขเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าน้ำมันมะพร้าวเลวที่สุด ใครชอบกินแกงกะทิควรระวัง น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารตามร้านอาหารทั่วไป คือ น้ำมันปาล์ม ก็มีพิษมีภัยใช่ย่อยพึงระวังให้ดี

ภาวะไขมันในเลือดสูง


ภาวะไขมันในเลือดสูง :เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน เราสามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ได้ การเริ่มป้องกันหรือรักษาตั้งแต่อายุประมาณ 35-40 ปี จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและโรคอัมพาตได้อย่างมากการปฏิบัติตนเพื่อลดปริมาณไขมันโคเลสเตอรอลในเลือด1. การควบคุมอาหาร

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง


อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ปลาหมึก กุ้ง และเครื่องในสัตว์


ไขมันจากสัตว์ ได้แก่ มันและหนังสัตว์


กะทิ


อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันและการทอดเจียว


ขนมหวาน แป้ง ข้าวต่างๆ และเครื่องดื่มประเภทเบียร์จะสะสมเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์

อาหารที่ควรรับประทาน


เนื้อปลา


น้ำมันของปลาทะเล


ผักใบต่างๆ และผลไม้ที่ให้กาก เช่น คะน้า ฝรั่ง ผักกาด ส้ม เม็ดแมงลัก ฯลฯ จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล เนื่องจากช่วยลดการดูดซึมไขมันสู่ร่างกาย


ดื่มนมพร่องมันเนยแทนนมสด
คำแนะนำสำหรับวิธีปรุงอาหารควรปรุงอาหารด้วยวิธีการนึ่ง ต้ม ยำ อบ ในกรณีที่ปรุงอาหารด้วยน้ำมันและการทอดเจียว ควรเลือกใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน2. การออกกำลังกายการออกกำลังกายช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและเพิ่มระดับ เอ็ช ดี แอล แต่จะต้องเป็นการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ ทำต่อเนื่องครั้งละ 10-30 นาที วันละอย่างน้อย 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งการออกกำลังกายที่ดีที่สุดกิจกรรมการออกกำลังกายที่จะเพิ่มสมรรถภาพของปอดและหัวใจ ได้แก่ การเดิน จ๊อกกิ้ง เต้นรำ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิค รำมวยจีน รำกระบอง


ถ้าท่านมีภาวะไขมันโคเลสเตอรอลสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมากกว่า 200 มก./100กรัม ควรรับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มก./วัน


สำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันปกติ ควรทำการตรวจเลือดและวัดระดับไขมัน อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
อาหารในแต่ละชนิด จะมีปริมาณโคเลสเตอรอลแตกต่างกันปริมาณโคเลสเตอรอล (มิลลิกรัม) ต่ออาหาร 100 กรัม

กุนเชียง
150
ตับไก่
685-750
กุ้งเล็ก
125-150
เนื้อวัวเนื้อล้วน
60
กุ้งใหญ่
250-300
ไตวัว
400
ไข่ขาว
0
กระเพาะวัว
150
ไข่ทั้งฟอง
550
ตับวัว
400
ไข่แดง (เป็ด)
1120
ลูกวัว
140
ไข่แดง (ไก่)
2000
ผ้าขี้ริ้ว
610
ไข่นกกระทา
3640
หัวใจวัว
145
ไข่ปลา
7300
ปลาแซลมอน
86
ครีม
300
ปลาจาระเม็ด
126
นกพิราบ
110
ปลาดุก
60
นมสด
24
ปลาทูน่า
186
เนยแข็ง
90-113
ปลาลิ้นหมา
87
เนยเหลว
250
ปลาไหลทะเล
186
มาการีน
0
ปลาหมึกเล็ก
384
น้ำมันตับปลา
500
ปลาหมึกใหญ่
1170
เนื้อกระต่าย
60
ปลิงทะเล
0
เนื้อแพะ
60
เป็ด
70-90
เนื้อแกะล้วน
60
ปู
101-164
ตับแกะ
610
แมงกะพรุน
24
กระเพาะแกะ
41
หอยกาบ
180
เนื้อหมูเนื้อแดง
89
หอยแครง
50
เนื้อปนมัน
126
หอยนางรม
230-470
น้ำมันหมู
95
หอยอื่นๆ
150
ตับหมู
400
เบคอน
215
ไตหมู
350
สมองสัตว์ต่างๆ
3160
กระเพาะหมู
150
ไส้กรอก
100
หัวใจหมู
400
แฮม
100
ซี่โครงหมู
110
ไอศกรีม
40
เนื้อไก่เนื้อล้วน
60

พิษร้ายยานอนหลับ


หลายท่านคงเคยมีปัญหานอนไม่หลับ และมีประสบการณ์การใช้ยานอนหลับกันบ้างนะคะ และอีกหลายๆ ท่านในกลุ่มนี้เช่นกัน ที่มีปัญหากับการใช้ยานอนหลับด้วย สำหรับคำถามที่ดิฉันมักได้ยินบ่อยๆ เวลาจ่ายยา เช่น ติดยานอนหลับค่ะ ถ้าไม่ได้กินคือจะนอนไม่ได้เลย เป็นแบบนี้มา 3 ปีแล้ว จะทำยังไงดีค่ะ หรือคุณหมอเปลี่ยนยานอนหลับให้หลายตัวแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับอีก มียานอนหลับที่แรงกว่านี้มั้ยค่ะ หรือไม่ได้นอนไม่หลับซะหน่อย แต่ทำไมคุณหมอจ่ายยานอนหลับให้ค่ะ เป็นต้น ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับยานอนหลับให้มากขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่าค่ะยานอนหลับ คือ ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน และมักช่วยบรรเทาอาการตึงเครียดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบางท่านที่ไม่มีปัญหานอนไม่หลับ แต่กลับได้รับยานอนหลับมากิน ในขณะที่บางท่านอาจจะรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวล ซึ่งยานอนหลับก็สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีค่ะทางการแพทย์ถือว่ายากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยตนเองจากร้านขายยาทั่วไป ดังนั้น ในกรณีที่มีการจำหน่ายยากลุ่มนี้โดยไม่มีใบสั่งแพทย์ จะถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ปัจจุบันนี้การใช้ยานอนหลับ ในการรักษาอาการนอนไม่หลับ ได้รับความนิยมอย่างสูง และมียานอนหลับในท้องตลาดหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งอาจทำให้หลายท่านเข้าใจว่า การใช้ยานอนหลับเป็นการรักษาอาการนอนไม่หลับ แต่ความจริงแล้วการใช้ยานอนหลับไม่ได้รักษาอาการนอนไม่หลับ เพียงแค่ทำให้อาการนอนไม่หลับของท่านทุเลาลงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีมิจฉาชีพบางประเภท ที่นำคุณสมบัติของยานอนหลับมาใช้มอมยาเหยื่อ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศหรือลักทรัพย์ ดังที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆผลเสียของยานอนหลับการใช้ยานอนหลับอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะการซื้อยามากินเอง ทำให้เกิดอันตรายมากกว่าที่คิด เช่น การใช้ยานอนหลับบางชนิด ที่ออกฤทธิ์เป็นระยะเวลานาน หรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดยาลดลง อาจทำให้ยังมียาสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อตื่นนอนแล้ว บางคนจึงยังรู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย หรือมึนงง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ในคนที่ต้องขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เนื่องจากอาการง่วงซึมแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีผลต่อการตัดสินใจ และการเคลื่อนไหวที่ต้องการความรวดเร็ว ทำให้เชื่องช้าลงได้ หรือในผู้สูงอายุอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคปอด หรือผู้ที่นอนกรนอย่างมาก หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่กดประสาทส่วนกลางดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับ เนื่องจากยานอนหลับบางชนิด ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดไปด้วย อาจเป็นสาเหตุให้ร่างกายหยุดหายใจได้ หรือในกรณีที่การใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน ก็อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่นการดื้อยา คือการใช้ยานอนหลับขนาดเดิมติดต่อกันสักระยะหนึ่ง แล้วพบว่าได้ผลการรักษา (การทำให้นอนหลับได้) น้อยลง จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งขนาดยาดังกล่าวอาจมากเกินกว่าขนาดปกติ ที่ใช้ในการรักษาจนเกิดพิษจากยาได้ การติดยา คือเมื่อใช้ยาติดต่อกันสักระยะหนึ่งแล้วหยุด อาจทำให้อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นอีกครั้ง จนต้องกลับมาใช้ยาต่อเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้เซ็กซ์เสื่อม มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับยานอนหลับบางชนิดเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้ ความจำเสื่อม ยานอนหลับอาจส่งผลต่อระบบความจำในระยะยาวได้ ทำให้ไม่สามารถจำเหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่างๆ ได้ยาวนานเหมือนคนปกติทั่วไป ดังนั้น การรักษาอาการนอนไม่หลับ ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การใช้ยานอนหลับที่มีขนาดต่ำที่สุด ที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาสั้นๆ (ไม่ควรเกิน 2 – 4 สัปดาห์) ร่วมกับการรักษาสาเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ ร่วมกับการปฏิบัติสุขอนามัยการนอนที่ดีด้วยคะการนอนหลับ เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย แต่ภาวะทางสังคมในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ แม้แต่มลพิษจากสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราสามารถเกิดความตึงเครียด วิตกกังวลได้ ซึ่งอาจส่งผลไม่น้อยต่อการนอนหลับ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะอะไรอาการนอนไม่หลับ จึงเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของคนเราในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต สถาบันวิจัยสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา แบ่งความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับออกเป็น 3 ระดับ คือ


นอนไม่หลับชั่วคราว หมายถึงการนอนไม่หลับที่เป็นอยู่ช่วงระยะสั้นๆ มักไม่เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสิ่งมากระตุ้น เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล การได้รับสารกระตุ้นการทำงานของร่างกาย เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง หรือในผู้ที่ต้องเดินทางบินข้ามทวีป (Jet Lag) อาจทำให้เกิดการนอนไม่หลับชั่วคราวได้ แต่เมื่อสิ่งที่มากระตุ้นเหล่านี้หมดไป ร่างกายก็จะกลับมานอนหลับเป็นปกติได้


นอนไม่หลับระยะสั้น หมายถึงการนอนไม่หลับเป็นระยะเวลา 1-3 สัปดาห์ อาจเกิดจากความเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งความเจ็บป่วยบางชนิดนั้น ก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบการนอนได้ เช่น โรคหัวใจ การไอเรื้อรัง ไทรอยด์ ปัญหาต่อมลูกหมาก ติดยา เป็นต้น ทั้งนี้ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้แก้ไข อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรังในที่สุด


นอนไม่หลับระยะยาว หมายถึงการนอนไม่หลับ เป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง สาเหตุสำคัญอาจเกิดจากโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะโรคทางระบบประสาท และจิตเวช เช่น โรคสมองเสื่อม ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น้
หากเกิดปัญหาการนอนไม่หลับทั้ง 3 ชนิดนี้ขึ้น ย่อมส่งผลให้ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน หรือเวลาหลับสนิทลดน้อยลงกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลต่อความพร้อม และความสดชื่นของสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น แจ่มใส ง่วงเหงาหาวนอน ขาดสมาธิในการทำงาน ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานได
สุขอนามัยในการนอนที่ดี ได้แก่


ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ไม่ว่าคืนก่อนจะนอนหลับหรือไม่ก็ตาม


จำกัดเวลานอนให้เหมาะสม และเพียงพอ โดยทั่วไปวัยรุ่นต้องการเวลานอน 11 ชั่วโมง วัยทำงาน 8 ชั่วโมง และผู้สูงอายุ 6 ชั่วโมง ต่อวัน


การจัดห้องนอนและบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม ก็จะช่วยได้มาก เช่น อุณหภูมิห้องไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป ที่นอนไม่นุ่มหรือไม่แข็งเกินไป หมอนหนุนไม่สูงมากไม่ต่ำมาก ไม่มีเสียงรบกวน แต่เสียงพัดลมหรือ เสียงเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเสียงสม่ำเสมอ เป็นตัวกลบเสียงรบกวนอื่น ก็อาจช่วยให้หลับได้ดีขึ้น ห้องนอนต้องไม่สว่างเกินไป ท่านอนที่ดีคือ ท่านอนหงาย


ฝึกฝนการผ่อนคลายความตึงเครียดทุกเย็นอย่างสม่ำเสมอ เช่น ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือสมาธิ


ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ แต่ไม่ควรออกกำลังกายในช่วงค่ำและก่อนนอน


งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม โดยเฉพาะเวลาหลังเที่ยงวัน


งดการดื่มสุรา สุราทำให้หลับเร็วขึ้น แต่จะทำให้หลับๆ ตื่นๆ


แม้ว่าบางคืนจะนอนไม่หลับ ในเวลากลางวันสั้นๆ ไม่เกิน 30 นาที ก็ควรที่จะทำงานให้ยุ่งเสมอ แทนที่จะนอนพักผ่อน เว้นแต่ ในบางรายที่พบว่าการงีบหลับในระหว่างวัน ช่วยให้นอนหลับดีในเวลากลางคืน
สุขอนามัยในการนอนที่ดีทั้งหมดนี้ อาจฟังดูปฏิบัติตามได้ยากสักหน่อย ในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับมานานแล้ว แต่หากท่านลองค่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยานอนหลับ ท้ายนี้ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดี และตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึกสดชื่นนะคะ